รีเซต

ค้นพบโบราณสถานมายาอายุ 3,000 ปี อาจเป็น “แผนที่จักรวาล” แห่งแรกของโลก

ค้นพบโบราณสถานมายาอายุ 3,000 ปี อาจเป็น “แผนที่จักรวาล” แห่งแรกของโลก
TNN ช่อง16
17 พฤศจิกายน 2568 ( 14:05 )
18

ทีมนักโบราณคดีนานาชาติ นำโดย ดร. ทาเคชิ อินิโมตะ (Takeshi Inomata) ศาสตราจารย์มานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) ค้นพบอนุสรณ์สถานขนาดมหึมายุคต้นของชาวมายา บริเวณพื้นที่ชื่อว่า อากวาดา เฟนิกซ์ (Aguada Fénix) ในรัฐตาบัสโก (Tabasco) ประเทศเม็กซิโก (Mexico)ซึ่งเป็น โครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเมื่อกว่า 3,000 ปีก่อน 

ปัจจุบัน อากวาดา เฟนิกซ์ (Aguada Fénix) ยังถือเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมายาที่เคยถูกค้นพบ ซึ่งอาจเปลี่ยนภาพจำเดิมที่เชื่อว่า สังคมโบราณต้องมี “ผู้นำรวมศูนย์อำนาจ” จึงจะสร้างสิ่งก่อสร้างมหึมาได้ แต่หลักฐานใหม่ชี้ว่า ชาวมายายุคแรกอาจสร้างโครงการขนาดยักษ์ร่วมกัน โดยไม่ต้องมีชนชั้นกษัตริย์หรืออำนาจสั่งการจากบนลงล่าง

ที่มาของภาพ

Arizona University

เทคโนโลยี Lidar เผยโครงสร้างที่ซ่อนมากว่า 3,000 ปี

ที่มาของภาพ

Arizona University

ทีมวิจัยนานาชาติจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) ใช้เทคโนโลยีไลดาร์ (light detection and ranging) ยิงเลเซอร์จากเครื่องบินเพื่อสแกนทะลุป่าทึบ และพบร่องรอยแรกของ อากวาดา เฟนิกซ์ในปี 2017 ก่อนจะยืนยันโครงสร้างยักษ์ยาวเกือบ 1 ไมล์ หรือราว 1.6 กิโลเมตร ในปี 2020 พร้อมกับพบสถานที่คล้ายกันเกือบ 500 แห่ง ทั่วเม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสะท้อนว่า นี่คือศูนย์กลางพิธีกรรมขนาดใหญ่ ที่ผู้คนจากหลากพื้นที่มารวมตัวกัน

งานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสารไซเอนซ์ แอดวานเซส (Science Advances)โดยทีมวิจัยนานาชาติ นำโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา ชี้ว่า อากวาดา เฟนิกซ์ ไม่ได้เป็นเพียงแท่นยกระดับขนาดมหึมาเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบให้เป็น “แผนที่จักรวาล (cosmic map)” อีกด้วย 

จากการศึกษาโครงสร้าง วิธีการก่อสร้าง และรูปแบบการใช้งาน นักวิจัยพบหลักฐานชัดเจนว่า อนุสรณ์สถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้ทำหน้าที่เป็น “จักรวาลภาพ (cosmogram)” หรือแผนที่สัญลักษณ์ของจักรวาลตามความเชื่อโบราณ ซึ่งไม่เพียงทำให้สถานที่แห่งนี้ทรงคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังอาจเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกมายายุคแรกอีกด้วย


ที่มาของภาพ

Arizona University

ที่สำคัญ โครงสร้างหลักของอนุสรณ์สถานชี้ไปยังดวงอาทิตย์ขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม และ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งห่างกัน 130 วันตรงกับครึ่งหนึ่ง ของปฏิทินศักดิ์สิทธิ์ 260 วันของชาวเมโสอเมริกา (Mesoamerica) แสดงให้เห็นว่า ผู้ออกแบบใช้ “ความรู้ด้านดาราศาสตร์” วางผังพื้นที่ขนาดมหึมา

พบหลักฐานที่ชี้ว่านี่อาจเป็นแผนที่จักรวาล (Cosmogram)

ที่มาของภาพ

Arizona University

การขุดค้นครั้งล่าสุดเผย หลุมรูปกางเขน (Cruciform Pit) ภายในมีวัตถุพิธีกรรม เช่น ขวานหยก (Jade Axes) เครื่องประดับหยก ประติมากรรมสัตว์ เช่น จระเข้ นก และรูปสลักคล้าย “สตรีกำลังให้กำเนิด”

ที่ระดับล่างสุด นักวิจัยพบดินสีต่าง ๆ จัดวางแทนทิศทั้งสี่ ได้แก่ 
- ฟ้า (Azurite) = เหนือ
- เขียว (Malachite) = ตะวันออก
- เหลือง (Ochre) = ใต้
- แดง (Red Pigment) = ตะวันตก

ดร. อินิโมตะ (Inomata) อธิบายว่า ในแวดวงโบราณคดี มีข้อมูลที่ทราบกันแล้วว่า สีแต่ละสี สัมพันธ์กับทิศต่าง ๆ ในวัฒนธรรมเมโสอเมริกา (Mesoamerica) และยังพบในบางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอเมริกาเหนือ (Native American) ด้วย แต่เขาเน้นว่า “เรายังไม่เคยพบหลักฐาน ‘เนื้อสีจริง’ ที่ถูกวางตามทิศทั้งสี่อย่างเป็นระบบแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เราพบการจัดวางเม็ดสีตรงกับตำราทุกทิศอย่างสมบูรณ์ ซึ่งน่าตื่นเต้นมาก”

หลักฐานนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ยืนยันได้ชัดเจนว่า ชาวมายายุคแรกใช้ “สี” เพื่อสะท้อนความหมายเชิงจักรวาลตามตำราโบราณอย่างครบถ้วน ทำให้หลุมรูปกางเขนแห่งนี้เป็นตัวชี้สำคัญว่า อากวาดา เฟนิกซ์ (Aguada Fénix) อาจถูกออกแบบให้เป็น “แผนที่จักรวาล” (Cosmogram) สำหรับประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนในยุคนั้น

ที่มาของภาพ

Arizona University

นักวิจัยเชื่อว่า ชาวมายายุคแรกเป็นผู้วาง ดินสีทั้งสี่และวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ลงในหลุมรูปกางเขน (Cruciform Pit) เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชา (Offerings) พวกเขาฝังวัตถุเหล่านี้อย่างพิถีพิถัน โดยกลบด้วยชั้นทรายและดินหลายชั้นอย่างตั้งใจ เพื่อผนึกพิธีกรรมและสื่อความหมายทางจักรวาลตามความเชื่อโบราณ การหาอายุด้วยคาร์บอนเรดิโอ (Radiocarbon Dating) ระบุว่า พิธีกรรมชั้นแรกสุดนี้เกิดขึ้นระหว่าง 900 ถึง 845 ปีก่อนคริสตกาล

หลังจากนั้นอีกหลายชั่วอายุคน คนรุ่นหลังมีแนวโน้มว่าจะกลับมายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเดิมนี้ เพื่อเพิ่ม วัตถุหยก (Jade Objects) เช่น ขวานหยกและเครื่องประดับต่าง ๆ ลงไปในหลุมอีกครั้ง ถือเป็นการ “ให้เกียรติผู้สร้างรุ่นแรก” และเป็นการ “ต่ออายุสายสัมพันธ์ศักดิ์สิทธิ์” ระหว่างผู้คนกับจักรวาล เป็นธรรมเนียมที่พบได้ในพิธีกรรมของชาวเมโสอเมริกาหลายยุคสมัย

ไม่มีหลักฐานเรื่องชนชั้น 

อย่างไรก็ตาม ต่างจากเมืองติคัล (Tikal) หรือเตโอติฮัวกาน (Teotihuacan) ที่มีโครงสร้างอำนาจชัดเจน อากวาดา เฟนิกซ์กลับ ไม่พบร่องรอยกษัตริย์หรือชนชั้นสูง แต่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างชัดเจน โดยสร้างก่อนเมืองเหล่านั้นเกือบ 1,000 ปี นักวิจัยเสนอว่า สังคมโบราณอาจมี “ผู้นำเชิงความคิด (thought leaders)” เช่น นักดาราศาสตร์ นักวางผัง หรือผู้ทำหน้าที่ประสานชุมชน มากกว่าผู้นำแบบใช้อำนาจสั่งการ

สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ เผยแพร่ในวารสารไซเอนซ์ แอดวานเซส (Science Advances) โดย อากวาดา เฟนิกซ์แสดงให้เห็นว่า มนุษย์สามารถร่วมแรงร่วมใจสร้างโครงสร้างยักษ์ได้ แม้ไม่มีระบบอำนาจบนลงล่าง สิ่งนี้สะท้อนความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสังคมเมโสอเมริกา และยังเป็นกรณีศึกษาให้โลกยุคใหม่ว่า “การร่วมมืออย่างเท่าเทียม” อาจสร้างสิ่งมหัศจรรย์ไม่ต่างจากอารยธรรมโบราณ

ที่มาของภาพ

Arizona University




ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง