สรุปผลประชุมมหาสมุทรโลก เร่งอนุรักษ์ทะเล ยุติเหมืองลึก และผลักดันสนธิสัญญาพลาสติก

เมื่อวันที่ 9–13 มิถุนายน 2025 ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ประชาคมโลกได้รวมตัวกันในงานประชุมมหาสมุทรแห่งสหประชาชาติ (UN Ocean Conference หรือ UNOC3) ครั้งที่ 3 เพื่อเร่งหาทางออกในการฟื้นฟูและปกป้องมหาสมุทรของโลก ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การทำประมงเกินขนาด และปัญหาขยะพลาสติก งานครั้งนี้มีผู้นำจากกว่า 60 ประเทศและผู้แทนจากทุกภาคส่วนกว่า 15,000 คนเข้าร่วม พร้อมผลักดันข้อตกลงระดับโลก อาทิ สนธิสัญญาทะเลหลวง การจัดตั้งเขตอนุรักษ์ทางทะเล และข้อเรียกร้องให้ยุติการทำเหมืองใต้ทะเลลึกอย่างถาวร อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาได้ส่งเพียงผู้สังเกตการณ์เข้าร่วม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวนโยบายถอนตัวจากเวทีพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
มหาสมุทรซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 71% ของโลก เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนขนาดใหญ่ที่สุดของโลก โดยดูดซับความร้อนส่วนเกินจากก๊าซเรือนกระจกไปแล้วถึง 90% และมีผู้คนกว่า 3 พันล้านคนพึ่งพิงเพื่อยังชีพ แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การใช้ทรัพยากรเกินขอบเขต และการขาดการคุ้มครองที่เพียงพอ กำลังทำลายระบบนิเวศทะเลและส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสุขภาพของโลก
สนธิสัญญาทะเลหลวง (High Seas Treaty)
19 ประเทศ รวมถึงอินโดนีเซีย เดนมาร์ก กรีซ วานูอาตู และจาเมกา ได้ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาทะเลหลวง ซึ่งเพิ่มยอดรวมผู้ให้สัตยาบันเป็น 50 ประเทศ (จากที่ต้องการขั้นต่ำ 60 ประเทศเพื่อให้มีผลบังคับใช้) สนธิสัญญานี้เป็นก้าวสำคัญสู่การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในน่านน้ำสากลซึ่งครอบคลุมมากกว่า 60% ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด สนธิสัญญาประกอบด้วย 75 มาตรา เพื่อปกป้องและใช้ทรัพยากรมหาสมุทรอย่างมีความรับผิดชอบ โดยกำหนดให้ทุกกิจกรรมต้องมีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมก่อนดำเนินการในน่านน้ำสากล
เขตอนุรักษ์ทางทะเล (Marine Protected Areas: MPAs)
ประเทศต่าง ๆ เช่น ชิลี โคลอมเบีย แทนซาเนีย และเฟรนช์โปลินีเซีย ได้ประกาศจัดตั้งหรือขยายเขตอนุรักษ์ทางทะเล โดยเฟรนช์โปลินีเซียได้ประกาศเขตคุ้มครองใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ 5 ล้านตารางกิโลเมตร ในจำนวนนี้ 1.1 ล้านตารางกิโลเมตรจะเป็นเขตคุ้มครองเข้มงวด ซึ่งจำกัดกิจกรรมมนุษย์ไว้เพียงการประมงพื้นบ้าน การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น
การทำเหมืองใต้ทะเลลึก (Deep Sea Mining)
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง กล่าวประณามการทำเหมืองใต้ทะเลลึกว่าเป็น “ความบ้าคลั่ง” พร้อมเรียกร้องให้มีการหยุดชะงักกิจกรรมนี้ในระดับโลก ขณะนี้มี 37 ประเทศที่สนับสนุนการพักการทำเหมืองใต้ทะเล ซึ่งในทางตรงกันข้าม สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ กลับมีท่าทีสนับสนุนการสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเล รวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดการทำประมงในพื้นที่แปซิฟิกขนาดใหญ่กว่า 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร
ปะการัง (Coral Reefs)
11 ประเทศ เช่น บาฮามาส ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย และปาปัวนิวกินี ได้ลงนามในคำมั่นร่วมปกป้องแนวปะการังที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พร้อมกำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติ และบูรณาการเข้ากับแผนความหลากหลายทางชีวภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ พันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนจากหลายประเทศได้ให้คำมั่นสนับสนุนเงินกว่า 25 ล้านดอลลาร์แก่กองทุน Global Fund for Coral Reefs (GFCR) ซึ่งสนับสนุนธุรกิจและโครงการที่ส่งผลดีต่อแนวปะการังมากกว่า 100 รายการทั่วโลก
ขยะพลาสติก (Plastic Pollution)
ผู้แทนจากกว่า 95 ประเทศเรียกร้องให้กลับมาเร่งเจรจาจัดทำสนธิสัญญาว่าด้วยพลาสติกระดับโลก หลังจากการเจรจาหยุดชะงักเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยเน้นว่า ต้องควบคุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการกำจัด ด้านฝรั่งเศสเตรียมผลักดันประเด็นนี้ในการเจรจารอบใหม่เดือนสิงหาคม ณ เมืองเจนีวา โดยขณะนี้มีขยะพลาสติกมากกว่า 8 ล้านตันเข้าสู่มหาสมุทรทุกปี ซึ่งใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลาย และเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล
แม้ยังมีความท้าทาย แต่การประชุม UNOC3 ที่ฝรั่งเศสได้จุดประกายความหวังใหม่ในการปกป้องมหาสมุทรของโลก ตั้งแต่การผลักดันสนธิสัญญาทะเลหลวง การเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ การปกป้องปะการัง ไปจนถึงการต่อต้านเหมืองใต้ทะเล และขยะพลาสติก ทั้งหมดล้วนเป็นก้าวสำคัญในการรักษา “หัวใจของโลก” ไว้ให้คนรุ่นต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
