ฤดูฝนปี 2568 กรุงเทพฯ เสี่ยงน้ำท่วมรุนแรงจากฝน–น้ำเหนือ–ทะเลหนุน

ฤดูฝนปี 2568 ไม่ได้เป็นแค่ “ปีที่ฝนมาก” แต่คือปีที่สัญญาณความเปราะบางของเมืองใหญ่ชัดขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี ปริมาณฝนสะสมทั่วประเทศสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 30 ปีถึง 10.3% ขณะเดียวกันระดับน้ำในเขื่อนสำคัญของภาคเหนือและภาคตะวันตกอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังสูงกว่า 80% ซึ่งหมายความว่า “พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา” รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาจเผชิญแรงกดดันจากน้ำเหนือหากฝนยังต่อเนื่อง
ความเสี่ยงของกรุงเทพฯ ไม่ได้มาจากฝนในเมืองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสภาพ “หนึ่งเมือง สองน้ำ” คือ (น้ำฝนในพื้นที่) บวก (น้ำเหนือที่ไหลลง) และยังมี (น้ำทะเลหนุน) เข้ามาซ้อนทับ เมื่อน้ำจำนวนมากต้องผ่านระบบระบายน้ำที่มีข้อจำกัด ทั้งคูคลองที่ตื้นเขิน จุดคอขวดใต้ถนน และการก่อสร้างในเขตน้ำท่วมถึง เมืองจึงเสี่ยงเกิดน้ำรอระบายและท่วมซ้ำในจุดเดิม “ยิ่งช่วงน้ำทะเลขึ้นสูง” ประตูระบายน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาจะเปิดยาก ทำให้การระบายช้าลง
ภาพในอนาคตยาวขึ้นก็ยิ่งชัด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่าในอีก 25 ปีข้างหน้า (ถึงปี 2593) ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นราว 12.5 เซนติเมตร เมื่อรวมกับฝนหนักที่เกิดถี่ขึ้น เมืองหลวงอาจมีประชากร “ครึ่งหนึ่งของทั้งเมือง” หรือราว 5 ล้านคน ได้รับผลกระทบ ขณะที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจถูกประเมินไว้ราว 0.3% ของ GDP ต่อปี หากยังพึ่งพาวิธีการเดิม
คำถามสำคัญคือ เมืองควรปรับตัวอย่างไรให้ทันกับความเสี่ยงที่ “ยืดเยื้อและแพงขึ้นทุกปี” แนวทางที่เป็นรูปธรรมแบ่งได้ 3 มิติซึ่งต้องเดินพร้อมกัน
โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ทำให้เมือง “ดูด–หน่วง–ระบาย” น้ำได้เอง ตัวอย่างเช่นสวนสาธารณะที่ออกแบบเชิงนิเวศ (แบบสวนเบญจกิตติ) ซึ่งกักเก็บและซับน้ำได้ 128,000 ลูกบาศก์เมตร แนวคิดเดียวกันนี้ควรขยายสู่ “เครือข่ายพื้นที่สีเขียว–น้ำเงิน” ทั้งบึงรับน้ำ ทางน้ำล้น คลองและแก้มลิงชุมชน เพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ให้ภาระตกกับท่อและปั๊ม
เครื่องมือการเงินเพื่อภัยพิบัติ เมื่อน้ำท่วมกลายเป็น “ความเสี่ยงเชิงระบบ” เมืองต้องมีเกราะรองรับทางการเงิน เช่น (ตราสารหนี้ภัยพิบัติ) ที่โอนความเสี่ยงบางส่วนไปยังตลาดทุน รวมถึงประกันภัยน้ำท่วมสำหรับครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้การฟื้นตัวเกิดเร็วและลดภาระงบประมาณฉุกเฉิน
ระบบเตือนภัยและการจัดการข้อมูล การพยากรณ์ฝน–น้ำแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง และศูนย์สั่งการร่วมที่ซ้อมแผนเป็นประจำ ทำให้ “ตัดสินใจเร็วขึ้น” งานศึกษาชี้ว่าระบบเตือนภัยล่วงหน้า 24 ชั่วโมงสามารถ ลดความเสียหายได้ถึง 30% หากผูกกับแผนเคลื่อนย้าย–ปิดเส้นทาง–ตั้งศูนย์พักพิงอย่างชัดเจน (การสื่อสารที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้ คือส่วนสำคัญไม่แพ้เทคโนโลยี)
นอกเหนือจากสามแกนหลัก เมืองควรวาง “แพ็กเกจปรับตัว” เพิ่มเติม ได้แก่ การผังเมืองที่กันพื้นที่รับน้ำไว้ก่อนพัฒนา (ไม่ปิดทางน้ำด้วยโครงการขนาดใหญ่) การยกระดับจุดเสี่ยงสำคัญ เช่น สถานีไฟฟ้า โรงพยาบาล ศูนย์คมนาคม ให้ปลอดภัยจากน้ำ การขุดลอกคลองและเปิดพื้นที่ริมคลองให้เป็นทางน้ำธรรมชาติ รวมถึงการมี “แผนซ่อมใหญ่หลังฝน” ที่เร่งคืนสมรรถนะระบบระบายน้ำทันที
ท้ายที่สุด น้ำท่วมไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะฤดูกาล แต่เป็น “โจทย์เศรษฐกิจเมือง” ที่ต้องจัดการเชิงระบบ กรุงเทพฯ จะยืนหยัดได้ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปสู่การลงทุนเชิงป้องกัน (prevention) ที่ชั่งน้ำหนักต้นทุน–ประโยชน์อย่างโปร่งใส และทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เพราะในเมืองที่เสี่ยงน้ำมากขึ้น “เวลาที่เตรียมตัว คือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
