COP30 เปิดประเด็นใหม่ “ป่าไม้เขตร้อน”

นับถอยหลังผู้นำทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อประชุมประจำปีเพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP30 จัดขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายนถึงวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ที่เมืองเบเล็ง ในป่าฝนอเมซอนของประเทศบราซิล ท่ามกลางความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
เนื่องจากการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนับวันมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายแม้ว่าการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ จะเติบโตอย่างรวดเร็วแต่แผนการจัดการสภาพภูมิอากาศของประเทศต่างๆ กลับยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสอยู่เสมอ
ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติล่าสุดในฐานข้อมูลการวิจัยการปล่อยก๊าซฯ ทั่วโลก (Emissions Database for Global Atmospheric Research: EDGAR) พบว่า ในปี 2567 ทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมสูงถึง 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ล้านตัน CO2eq) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเพิ่มขึ้น 665 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากใน2566
การประชุม COP30 ครั้งนี้ ประเทศเจ้าภาพได้กำหนดแนวคิด “โกลบอล มูชิราว (Global Mutirão)” ที่มีความหมายว่า “การรวมพลังของประชาคมโลกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” มุ่งเน้น 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
(1) การจัดส่งเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0)
(2) การจัดทำตัวชี้วัดตามเป้าหมายการปรับตัวต่อผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก (Global Goal on Adaptation: GGA)
(3) การผลักดันแผนที่นำทางตามเป้าหมายการเงินใหม่จำนวน 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2578 (ค.ศ. 2035) (Baku to Belém Roadmap to 1.3T)
(4) กองทุนสำหรับความสูญเสียและความเสียหาย (FRLD : Loss and Damage Fund)
และ (5) การครบรอบ 10 ปีของความตกลงปารีส
สำหรับในการประชุม COP30 "ประเทศไทย" มีวาระสำคัญในการนำเสนอเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 มีมติเห็นชอบต่อร่าง NDC 3.0 ถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี ด้วยการตั้งเป้าให้ไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net zero) ภายในปี 2593 จากเดิมที่มีเป้าหมายจะบรรลุ Net zero ใน 2608 ตามนโยบายของรัฐบาลข้อ 13 การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ที่นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล แถลงต่อรัฐสภา โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ
นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ในการประชุม COP30 จะมีการผลักดันประเด็นพิเศษ เรื่อง “การมีส่วนร่วมของป่าไม้เขตร้อน” (Tropical Forests Involvement) เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการประชุม เนื่องจากบราซิลเป็นประเทศเจ้าภาพในการจัดการประชุม COP30 ในครั้งนี้ และตั้งอยู่ในภูมิภาคแอมะซอนซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศเขตร้อนของโลก
ดังนั้น บทบาทเจ้าภาพหลักของ COP30 จะเน้นนโยบาย " Amazon Forever" ลดการตัดไม้ทำลายป่าเป็นศูนย์ภายในปี 2573 และสร้างระบบคาร์บอนเครดิตจากป่าอเมซอน (Amazon Carbon Market) , จัดตั้ง "Congo Forest Partnership" เพื่อเรียกร้องเงินสนับสนุนจากประเทศพัฒนาแล้ว ผลักดันให้กองทุนใหม่ ( NCQG ) รองรับการอนุรักษ์ป่าที่มีอยู่ ไม่ใช่เฉพาะการปลูกป่าใหม่, และเสนอแนวทาง "ASEAN Carbon Landscape" เชื่อมโยงโครงการป่าไม้กับตลาดคาร์บอน พร้อมผลักดันระบบ MRV (การรายงานและตรวจสอบก๊าซเรือนกระจก)มาตรฐานเดียว และเปิดให้ขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ (Article 6.2)
นอกเหนือจากแอมะซอน ยังมีการรวบรวมป่าเขตร้อนในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก เพื่อทำให้ประเทศเจ้าของป่ามีบทบาทมากขึ้นในฐานะผู้ปกป้องคาร์บอนของโลก และได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม โดยมีการจัดตั้ง "พันธมิตรป่าไม้เขตร้อน"(Three Basins Initiative) ระหว่างแอมะซอน คองโก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Coalition of the Three Basins) อย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมมือด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาการเงินเพื่อป่าไม้เขตร้อน (Tropical Forest Finance) และสร้างอำนาจการเจรจาและต่อรองทำให้แอมะซอน–คองโก–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ป่าไม้เขตร้อน” จะได้รับความสำคัญ ใน COP30 ครั้งนี้
ทังนี้ ป่าไม้เขตร้อน (Tropical Forests) ใน แอมะซอน–คองโก–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมพื้นที่รวมกันกว่า 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 6.88 พันล้านไร่) เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนมากที่สุดในโลก ประมาณ 4-5 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า (GtCO2eq) /ปี และป่าเขตร้อน 3 แห่งดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถูกทำลายและเปลี่ยนใช้ที่ดิน (deforestation) เพื่อเกษตรกรรม เหมือง และพลังงานชีวภาพ และกำลังทำให้ป่าเขตร้อนเป็นแหล่งปล่อย CO2 สุทธิ (Net Positive Carbon Source)
นอกจากนี้ สาเหตุที่ COP30 ให้ความสำคัญกับป่าไม้เขตร้อน เพราะ บราซิล อินโดนีเซีย และคองโก (ประเทศในกลุ่มพันธมิตร Coalition of the Three Basins) เป็น 3 ประเทศที่มีการปล่อย CO2 จากการตัดไม้เพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุด (Land-Use Change Emission) ประมาณ 2.5 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า /ปี หรือประมาณร้อยละ 60 ของการปล่อย CO2 ของโลก
สำหรับประเด็นด้าน “การเงินป่าไม้” ในการประชุม COP30 ครั้งนี้ ที่น่าสนใจได้แก่
1. Tropical Forest Finance Mechanism หรือ กลไกการเงินป่าเขตร้อน โดยจะมีการเสนอให้จัดตั้งกองทุนป่าไม้เขตร้อนเพื่ออนาคต (Tropical Forests Forever Fund: TFFF) เป็นกองทุนเฉพาะสำหรับประเทศป่าเขตร้อน โดยแหล่งเงินทุน จะมาจากกลไกการเงินใหม่ (New Collective Quantified Goal on Climate Finance: NCQG) , ภาษีคาร์บอนระหว่างประเทศ, กลไก Article 6.2 และ 6.4 ของข้อตกลงปารีส โดยตั้งเป้าหมายเงินทุน 250 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573
ทั้งนี้ Article 6.2 เป็นกลไก "ความร่วมมือทวิภาคี/พหุภาคี" (Cooperative Approach) ที่ประเทศคู่ค้าตกลงซื้อขายผลลัพธ์การลดก๊าซเรือนกระจกโดยตรงกัน และ Article 6.4 เป็นกลไก "แบบรวมศูนย์" (Centralized Mechanism) ซึ่งเป็นกลไกการให้เครดิตคาร์บอนที่ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของ UNFCCC
สำหรับหลักเกณฑ์ TFFF ต้องรักษาพื้นที่ป่าเดิมอย่างน้อยร้อยละ 90 , ต้องมีระบบ MRV (Monitoring, Reporting, Verification) ที่โปร่งใส
2. กลไกคาร์บอนเครดิตประเภทป่าไม้ (REDD+ 2.0) ให้ครอบคลุมถึงชุมชนท้องถิ่นจะมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากคาร์บอนเครดิต รวมถึงผลักดันและสนับสนุนการใช้ดาวเทียมและ AI เพื่อตรวจสอบพื้นที่ป่า และเรียกร้องการกำหนดราคาคาร์บอนขั้นต่ำสำหรับคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ 30 - 50 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายในประเทศไทยราว 4.25 เท่า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการเข้าถึงกองทุน NCQG, นำป่าเขตร้อนไปรวมในกลไก Article 6 ของข้อตกลงปารีส และการเชื่อมโยงการค้าคาร์บอนในภูมิภาค ผ่านการมีส่วนร่วมในเครือข่าย ASEAN Joint Declaration on Climate Action ที่จะผลักดัน ASEAN Climate Action Framework 2030 ในการประชุม COP30 ที่จะเป็นผลดีต่ออาเซียนและประเทศไทย
โดยโอกาสของไทยมีหลายมิติ ได้แก่ มติ “คาร์บอนเครดิต” ป่าของไทย (ประมาณร้อยละ 32 ของพื้นที่ประเทศ) มีศักยภาพผลิตคาร์บอนเครดิตได้ราว 20–30 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี หรือประมาณร้อยละ 7 - 11% ของปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ของประเทศ โดยมีโอกาสสร้างรายได้คาร์บอนเครดิตป่าไม้สูงถึง 49,000 ล้านบาท/ปี
มิติด้าน “การเงินสีเขียว” ไทยมีโอกาสการเข้าถึงกองทุนระหว่างประเทศ จากการขยายกองทุนใหม่ NCQG ใน COP 30 ซึ่งรวมกองทุนเพื่อป่าไม้ เช่น Tropical Forests Forever Fund: TFFF นอกจากนี้โครงการคาร์บอนชุมชน/โครงการ REDD+ อาจได้รับทุนสนับสนุนเพิ่ม จากการให้ความสำคัญแก่กลุ่มประเทศป่าเขตร้อน
และมิติ “เครื่องมือเชิงนโยบายและอำนาจต่อรองการค้า” โดยการเข้าร่วมใน Coalition of the Three Basins หรือพันธมิตรป่าไม้เขตร้อน ระหว่างแอมะซอน คองโก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในการประชุม COP30 ซึ่งจะช่วยสร้างอำนาจการเจรจาทางการค้า เช่น สินค้าเกษตรประเภท ยางพารา, ไม้, กาแฟ, โกโก้ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบาย EUDR (EU Deforestation Regulation) รวมถึงการเชื่อมโยงการอนุรักษ์กับเศรษฐกิจผ่านการกำหนดให้ป่าเป็นสินทรัพย์คาร์บอน และการกำหนดราคาขั้นต่ำคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้
ทั้งนี้ การประชุม COP30 ยังมีประเด็นที่น่าจับตาคือ จะเป็นการประชุม ”ครั้งประวัติศาสตร์” ที่สหรัฐอเมริกาไม่ส่งผู้แทนระดับสูงเข้าร่วมแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อนที่เร่งตัวขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพี ว่า “สหรัฐฯ จะไม่ส่งตัวแทนระดับสูงไปร่วมการประชุม COP30” ขณะที่ สหภาพยุโรป (EU) เพิ่งบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 90 ภายในปี 2583 เมื่อเทียบกับระดับปี 2533 ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของยุโรปในฐานะผู้นำด้านการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อนการประชุมสุดยอด COP30 ที่จะจัดขึ้นในเมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
