รีเซต

ผู้ค้าชาวจีนไม่แคร์ “ทรัมป์” ขึ้นภาษี หันไปขายกับประเทศอื่นแทนอเมริกา

ผู้ค้าชาวจีนไม่แคร์ “ทรัมป์” ขึ้นภาษี หันไปขายกับประเทศอื่นแทนอเมริกา
TNN ช่อง16
6 พฤษภาคม 2568 ( 16:06 )
11

ยังคงต้องจับตากันต่อ กับสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ ทั่วโลกต่างเฝ้ามองว่า จะได้เห็นความคืบหน้าในการเจรจาการค้าของ 2 ชาติมหาอำนาจ ที่ตอนนี้ ต่างประกาศขึ้นภาษีสู้กันไปมา 


แน่นอนว่า การขึ้นภาษีจากประเทศยักษ์ใหญ่ 2 ประเทศ ย่อมส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะผู้บริโภค และกลุ่มภาคธุรกิจ 


ถึงจะเผชิญกับความท้าทายทางการค้า แต่บรรดาผู้ค้าชาวจีน ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาไม่แคร์กับการขึ้นภาษีของทรัมป์ และหันไปค้าขายกับประเทศอื่นแทน 


เพราะอะไร พวกเขาถึงคิดเช่นนั้น 


ผู้ค้าชาวจีนไม่สน “ทรัมป์” ขึ้นภาษี


สำนักข่าว BBC เผยแพร่บทสัมภาษณ์พ่อค้าแม่ค้า ที่เมืองอี้อู ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่า เป็นตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และถือว่า เป็นแนวหน้าของสงครามการค้าครั้งนี้ 


ผู้ค้าหลายราย เผยว่า พวกเขาขายสินค้าให้กับสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก บางร้านมีคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ คิดเป็น 20-30% ของยอดขาย แต่เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศสงครามการค้า จึงทำให้สินค้าจีนทั้งหมด ที่จะถูกส่งไปสหรัฐฯ เสี่ยงเจอภาษีสูงถึง 145% 


ด้วยความไม่แน่นอนจากนโยบายทรัมป์ จึงทำให้พวกเขาหันไปค้าขายกับภูมิภาคอื่นแทน อย่าง อเมริกาใต้ หรือ ตะวันออกกลาง  


แต่การปรับตัวครั้งนี้ ไม่ได้สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่พวกเขาเตรียมพร้อมรับมือมานานแล้ว หลังจากต้องเผชิญกับสงครามการค้าของทรัมป์ ในช่วงสมัยแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา 


ผู้ค้าชาวจีนบางส่วนถึงกับบอกว่า พวกเขาไม่แคร์ว่า จะต้องขายของให้กับสหรัฐฯ เพราะมีหลายสิ่งเปลี่ยนไป ตั้งแต่พวกเขาเผชิญกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เมื่อปี 2018 ตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็ขยายตลาดการค้าขายที่ไม่ได้มีแค่สหรัฐฯ 


ผู้ค้าหลายคน เลือกที่ฝึกเรียนภาษาสเปน หรือ อาราบิกเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มใหม่ของพวกเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวในเรื่องของความสัมพันธ์ทางการค้าที่กำลังเปลี่ยนไปของจีน 


ด้านรัฐบาลจีน เผยว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ กำลังกลั่นแกล้งประเทศอื่น ๆ และเล่นบทบาททางการค้าที่ไม่เป็นธรรม พร้อมกับยืนหยัดต่อต้านการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอเมริกา 125%


ขณะที่ ภาคธุรกิจในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ก็เผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน เพราะสินค้าเบ็ดเตล็ด จนถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่วางขายในอเมริกาส่วนใหญ่นำเข้า หรือ ผลิตมาจากจีน และการขึ้นภาษีอาจทำลายธุรกิจรายย่อยได้ 


ส่วนบริษัทใหญ่อย่าง Walmart และ Target ออกมาเตือนผู้บริโภคว่า สินค้าบางอย่างอาจไม่มีวางขายบนชั้นวาง หรือไม่ก็จะมีราคาสูงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะสินค้าตกแต่งบ้านที่มาจากจีน เจ้าของธุรกิจบางแห่งต้องยกเลิกออเดอร์จากประเทศจีน เนื่องจากราคาที่สูงขึ้น 

จีนถือไพ่เหนือกว่าสหรัฐฯ ?


คำถามต่อมาคืออะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้จีน ดูเหมือนจะมีไพ่ที่ถือเหนือกว่าสหรัฐฯ บนสงครามการค้านี้ 


  1. จีนสามารถรับมือกับแรงกดดัน แต่จะทนได้แค่ในระยะหนึ่ง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนใหญ่ และแข็งแกร่งมากพอที่จะเอาตัวรอดจากสงครามการค้าได้ นอกจากนี้ จีนมีประชากรมากกว่าพันล้านคน จึงสามารถพยายามขายสินค้าภายในประเทศมากขึ้น และรัฐบาลก็พยายามกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ 

  2. จีนมีการลงทุนสำหรับอนาคต ในอดีต จีนเป็นที่รู้จักในฐานะโรงงานของโลกเสมอมา แต่วันนี้ กำลังกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี มีการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอุตสาหกรรม AI, พลังงานสีเขียว และรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งในจีน อย่าง BYD หรือ Huawei ก็ถือว่าเป็นความท้าทายใหญ่ของบริษัทเทคในอเมริกัน 

  3. จีนเรียนรู้จากสงครามการค้าครั้งที่แล้ว พวกเขาได้ขยายการค้ากับเอเชียม แอฟริกา และอเมริกาใต้ ผ่านโครงการ Belt annd Road Initiative ปี 2023 จีนเป็นพันธมิตรการค้ารายใหญ่ที่สุดของ 60 ประเทศ มากกว่าสหรัฐฯ เกือบสองเท่า 

  4. จีนเข้าใจจุดอ่อนของสหรัฐฯ เมื่อทรัมป์ขึ้นภาษี ตลาดการเงินของสหรัฐฯ ก็ตกต่ำ เขาต้องหยุดการขึ้นภาษีบางส่วนหลังจากมีการเทขายพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมาก โดยจีนเองก็มีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่การจะขายทิ้งไป อาจทำให้จีนเจ็บได้ ฉะนั้น จีนอาจจะใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองมากกว่า 

  5. จีนครอบครองแร่หายาก ซึ่งถือว่า เป็นวัตถุดิบสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก เพื่อตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จีนจึงเริ่มจำกัดการส่งออกแร่ธาตุ หายากหากจีนลดการส่งออก ราคาแร่อาจพุ่งสูงขึ้น และอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ อาจประสบปัญหาในการผลิตสินค้า

จีนก็เจ็บได้เหมือนกัน บนสงครามภาษี


พูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า สงครามการค้าส่งผลกระทบแค่สหรัฐฯ เท่านั้น เพราะจีนเองก็ได้รับกระทบจากเรื่องนี้ ไปไม่น้อยเช่นกัน 


สำนักข่าว Al Jazeera ออกมาวิเคราะห์ถึงผลกระทบของจีนที่ได้รับจากสงครามการค้าไว้ว่า สงครามการค้าอาจจะทำให้เศรษฐกิจจีนเกิดการชะลอตัว Goldman Sachs คาดการณ์ว่า GDP ของจีนอาจลดลง 2.4% ในปีนี้ เพราะสงครามภาษี แม้ว่า รัฐบาลให้คำมั่นว่า จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP 5% 


นอกจากนี้ หากสงครามการค้าดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน ย่อมไม่เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจจีน เพราะจีนเองก็กำลังเผชิญปัญหามากมายภายในประเทศ ตั้งแต่การบริโภคที่ลดลงไปจนถึงวิกฤตที่อยู่อาศัยที่ทำลายเงินออมของประชาชน และความเชื่อมั่นในอนาคต

สงครามที่ไม่มีใครได้เป็นผู้ชนะ


แม้จะยังไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้ว สงครามภาษีรอบนี้ จะไปจบลงที่ตรงไหน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนก็ออกมาเผยว่า จะไม่มีใครชนะในเกมนี้ และเรียกร้องสองฝ่ายหันมาเจรจากัน 


เว็บไซต์ The Nation News และนิตยสาร TIME ต่างชี้ให้เห็นว่า สุดท้าย สงครามภาษีจะทำร้ายทั้ง 2 ประเทศ เพราะต่างฝ่ายต่างทำธุรกิจด้วยกัน สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนเมื่อปีที่แล้ว คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 4.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 3% ของเศรษฐกิจจีน ที่ยังคงพึ่งพาการส่งออกไปยังต่างประเทศอย่างมาก


การขึ้นภาษีจะทำให้สินค้าแพงขึ้น กระทบกับผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนยากจน

 

นอกจากนี้ การทำสงครามการค้าที่ยาวนาน เสี่ยงทำให้เศรษฐกิจประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย หากการเจรจาไม่เกิดขึ้น สุดท้ายแล้วจะไม่มีผู้ชนะบนสงครามการค้า มีแต่เจ็บด้วยกันทั้งคู่ 


แหล่งข้อมูลอ้างอิง: 


https://www.bbc.com/news/articles/cwy7jdn09lxo

https://www.bbc.com/news/articles/c0kxe1m1y26o

https://time.com/7276876/china-retaliatory-tariffs-us-trade-war/

https://www.aljazeera.com/news/2025/4/28/trump-china-tariff-war-whos-winning-so-far

https://www.thenationalnews.com/opinion/comment/2025/04/30/there-are-no-winners-in-a-trade-war-the-us-should-abandon-it/

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง