พลอย เฌอมาลย์ จุดกระแสหญิงไทยตรวจมะเร็ง สถิติพุ่ง 22,000 รายต่อปี เสียชีวิตวันละ 13 คน

มะเร็งเต้านมในตัวเลขจากกรณี “พลอย เฌอมาลย์” ถึงปัญหาสาธารณสุขของไทย
เมื่อ พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ นักแสดงชื่อดัง เปิดเผยผ่านรายการพอดแคสต์เมื่อวันที่ 22–23 ตุลาคม 2568 ว่าเธอตรวจพบ มะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ตั้งแต่ต้นปี เสียงของเธอกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพูดถึงโรคที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยมากที่สุดในขณะนี้ จากเรื่องราวส่วนตัวของคนในวงการบันเทิงได้ขยายวงสู่การตั้งคำถามต่อระบบสาธารณสุข ว่าประเทศไทยมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันและรับมือกับโรคร้ายที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ข้อมูลจากกรมการแพทย์ระบุว่าในปี 2563 มีผู้หญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งเต้านมรายใหม่กว่า 18,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 49 คน และมีผู้เสียชีวิตถึง 4,800 คนต่อปี เฉลี่ยวันละ 13 คน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2566 คาดว่ามีผู้ป่วยรายใหม่มากถึง 22,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 60 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสามปีก่อนราว 22% นับเป็นแนวโน้มที่บ่งชี้ว่ามะเร็งเต้านมกำลังกลายเป็นโรคที่คนไทยต้องเผชิญอย่างจริงจัง
จังหวัดที่พบอัตราผู้ป่วยสูงสุดคือ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี และระยอง ซึ่งมีค่าเฉลี่ยระหว่าง 34–40 รายต่อประชากรหญิง 100,000 คน ทั้งหมดเป็นพื้นที่เมืองใหญ่และศูนย์กลางอุตสาหกรรม ซึ่งมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่สัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยง เช่น การรับประทานอาหารไขมันสูง การนั่งทำงานนาน ความเครียดสะสม และขาดการออกกำลังกาย ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่แพทย์เชื่อว่ามีส่วนกระตุ้นให้เกิดโรคในระยะยาว
ในระดับโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าในปี 2020 มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่มากกว่า 2,300,000 คน และมีผู้เสียชีวิตเกือบ 685,000 คน ต่อปี ขณะที่อัตราการเกิดโรคในไทยอยู่ที่ 28.5 รายต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งต่ำกว่าประเทศตะวันตกที่เฉลี่ย 100 รายต่อประชากร 100,000 คน แต่แนวโน้มเพิ่มขึ้นของไทยยังคงต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องเสริมระบบการคัดกรองให้เข้มแข็งมากขึ้น
กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือช่วง 45–55 ปี ซึ่งเป็นวัยทำงานและเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเริ่มเปลี่ยนแปลง ผู้หญิงในกลุ่มนี้คิดเป็นร้อยละ 80 ของผู้ป่วยทั้งหมด ส่วนเพศชายพบเพียงร้อยละ 1 หรือประมาณ 1 ใน 100 ราย ของผู้ป่วย เช่นกรณีของ พี สะเดิด นักร้องลูกทุ่งวัย 46 ปี ที่เปิดเผยว่าเคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี แม้พบได้ยากในผู้ชายแต่ก็ยืนยันว่าโรคนี้ไม่เลือกเพศ
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญตามข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้แก่ อายุที่มากกว่า 50 ปี ประวัติครอบครัวที่มีญาติสายตรงเคยเป็นมะเร็งเต้านม การเริ่มมีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี รวมถึงภาวะอ้วน ดัชนีมวลกายเกิน 25 การดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 แก้ว และการขาดการออกกำลังกายซึ่งน้อยกว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์ ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินชีวิตยุคใหม่กำลังเพิ่มโอกาสของการเกิดโรคในคนรุ่นกลางวัยและคนเมือง
เพื่อควบคุมสถานการณ์ กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป ตรวจเต้านมโดยแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ปีละ 1–2 ครั้ง นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังได้จัดสรรงบประมาณกว่า 800 ล้านบาท ในปี 2568 เพื่อขยายบริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมฟรีสำหรับหญิงไทยอายุ 30–70 ปี รวมถึงการตรวจยีน BRCA1/BRCA2 สำหรับญาติสายตรงของผู้ป่วย
ด้านการรักษา ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่าผู้ป่วยร้อยละ 60 เข้ารับการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม ขณะที่ร้อยละ 30 ต้องผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด และมากกว่าร้อยละ 70 ได้รับการฉายแสงเฉลี่ย 25 ครั้ง ต่อการรักษาหนึ่งรอบ ผู้ป่วยกว่าครึ่งต้องใช้ยาต้านฮอร์โมนต่อเนื่อง 5 ปี โดยอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นอยู่ที่ 85–90% ส่วนระยะลุกลามเหลือราว 50–60% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ
กรณีของพลอย เฌอมาลย์ เป็นตัวอย่างของการรักษาที่มีการวางแผนต่อเนื่อง เธอเข้ารับการผ่าตัดสองครั้งหลังพบว่ามะเร็งลามไปต่อมน้ำเหลือง ต้องฉายแสง 25 ครั้ง ภายในเวลา 5 สัปดาห์ น้ำหนักลดลงกว่า 13 กิโลกรัมใน 3 เดือน แต่หลังฟื้นตัวน้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้น 8 กิโลกรัม และผลตรวจล่าสุดเป็นปกติ หลังจากเผยเรื่องราวของตนเอง การค้นหาคำว่า “ตรวจมะเร็งเต้านม” ใน Google ประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 480% ภายใน 24 ชั่วโมง แสดงให้เห็นถึงพลังของการเปิดใจที่กระตุ้นให้คนหันมาดูแลสุขภาพ
ปัจจุบัน นโยบาย “Cancer Anywhere” ของ สปสช. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทุกสิทธิการรักษาเข้ารับบริการได้ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศโดยไม่ต้องมีใบส่งตัว ครอบคลุมการผ่าตัด เคมีบำบัด การฉายรังสี ยาพุ่งเป้า รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดและรังสีโปรตอน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึง
มะเร็งเต้านมจึงไม่ใช่เพียงปัญหาของผู้หญิงรายใดรายหนึ่ง แต่เป็นภาระทางสุขภาพที่กำลังขยายตัวของสังคมไทย ตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจาก 18,000 รายในปี 2563 เป็น 22,000 รายในปี 2566 แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่รัฐต้องเร่งขยายบริการตรวจคัดกรอง ขณะที่ประชาชนเองต้องเริ่มจากการตรวจเต้านมด้วยตนเองและการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพราะเมื่อพบโรคได้เร็ว โอกาสรอดชีวิตก็สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเรื่องราวของพลอย เฌอมาลย์ก็กลายเป็นตัวอย่างที่ทำให้สังคมตระหนักว่า “การรู้ทันคือการป้องกันที่ดีที่สุด”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
