รีเซต

โลกกำลังเดินเข้าสู่ ระเบียบโลกใหม่ แล้วที่ยืนของไทยอยู่ตรงไหน?

โลกกำลังเดินเข้าสู่ ระเบียบโลกใหม่ แล้วที่ยืนของไทยอยู่ตรงไหน?
TNN ช่อง16
16 กันยายน 2568 ( 19:20 )
71

โลกเปลี่ยน แล้วไทยพร้อมปรับหรือยัง? คำถามที่ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดปาฐกถาในเวทีพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ TNN ช่อง 16 ก้าวเข้าสู่ปีที่ 18 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025

นี่ไม่ใช่แค่คำถามปลายเปิด แต่คือคำท้าทายที่เจาะลึกถึง “ความพร้อมของประเทศไทย” ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไปในทุกมิติอย่างไม่หยุดยั้ง  


ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เสนอกรอบคิดของคำว่า “Global Disruption” หรือคลื่นความเปลี่ยนแปลงระดับโลก ที่ไม่ได้มาแค่ลูกเดียว แต่กำลังเคลื่อนตัวพร้อมกันหลายทิศทาง ตั้งแต่เทคโนโลยี โครงสร้างประชากร สุขภาพ สิ่งแวดล้อม การศึกษา ไปจนถึงระเบียบโลกใหม่  


เทคโนโลยี: เมื่อ AI เปลี่ยนทั้งโลก เปลี่ยนคน และเปลี่ยนประเทศ


“AI จะไม่มาแย่งงานคน

แต่คนที่ใช้ AI เป็น จะมาแทนที่คนที่ใช้ AI ไม่เป็น”


ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ชี้ว่าโลกไม่เพียงอยู่ในยุคของ AI แล้วเท่านั้น แต่กำลังเข้าสู่ยุค “Generative AI” ที่รื้อทฤษฎีและรูปแบบเดิมทั้งหมด ตั้งแต่การทำงาน การเรียนรู้ ไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่


ในขณะที่บางประเทศกำลังสร้าง “AI Ecosystem” ประเทศไทยยังคงมีช่องว่างในเรื่อง “AI users” ทั้งในระดับรัฐ เอกชน และการศึกษา ท่านเสนอว่าประเทศที่มีพลเมืองที่ใช้ AI อย่างชาญฉลาดจะกลายเป็น “ประเทศผู้นำ” โดยอัตโนมัติ 


ประชากร: สังคมสูงวัยและเศรษฐกิจผู้ดูแล


ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ Demographic Crisis ประชากรหดตัวลงทีละ 10 ล้าน 15 ล้าน 20 ล้าน และอาจเหลือเพียง 50 กว่าล้านคนในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ในขณะเดียวกัน สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คนสูงวัยในวันนี้ ไม่ใช่คนนอนติดเตียงอยู่บ้านเฉยๆ พวกเขายังมีสมอง มีพลัง แต่ประเทศไทยจะสามารถนำพาพวกเขากลับมาสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณค่าอย่างไร 


ทางออกคือการออกแบบระบบ “Care Economy” และ “Longevity Economy”

ที่นำผู้สูงอายุที่ยังสามารถทำงานได้ กลับมา reskill และร่วมขับเคลื่อนประเทศ

รวมทั้งพัฒนาทักษะ AI ให้คนสูงอายุเหล่านี้ด้วย 



โรคระบาด: เมื่อระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อม


แม้ COVID-19 จะผ่านไปแล้ว แต่เราก็ยังไม่อาจวางใจเพราะโลกอาจมีโรคระบาดได้อีก ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยไม่มี “กลไกสั่งการมืออาชีพ” และระบบยังแบ่งแยกเป็นไซโล กระทรวง ทบวง กรม ด้วยอำนาจที่กระจัดกระจาย กรมแยกกันทำงาน จึงไม่สามารถมีการสั่งการเชิงกลยุทธ์ได้จริง


ข้อเสนอคือการจัดตั้งศูนย์กลางรับมือภัยพิบัติด้านสุขภาพระดับชาติ และวางแผนเตือนภัยระยะยาว พร้อมงบฉุกเฉินแบบ real-time


สิ่งแวดล้อม: “น้ำท่วม-น้ำแล้ง-ดินถล่ม” ที่วนซ้ำ


แม้คำว่า Net Zero และ Carbon Credit จะกลายเป็นวาระหลักของเวทีนานาชาติ

แต่ในความเป็นจริง สิ่งแวดล้อมที่ไทยต้องเผชิญทุกปีกลับยังเต็มไปด้วย “วิกฤตซ้ำซาก” ที่สะท้อนว่าเรายังไม่สามารถ “อยู่ร่วมกับธรรมชาติ” ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน


ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนัก ทำลายถนน–ตลาด–เขตชุมชนที่อำเภอแม่สาย ดินโคลนถล่มหลังฝนตกสะสมหนักติดต่อกันหลายวันี่จังหวัดเพชรบูรณ์ หรือแม้แต่ที่นครศรีธรรมราช เลย แพร่ ต้องเผชิญภัยพิบัติวนลูป ทั้งน้ำหลาก น้ำแล้ง และไฟป่า


ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรในการรับมือ แต่ขาด “การบูรณาการนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม” ที่เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ


แนวทาง “3 ป.” สู่การอยู่รอดในโลกปั่นป่วน


ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสนอกรอบ 3 มิติเร่งด่วนที่ไทยต้องลงมือทำไปพร้อมกัน

ไม่ใช่แค่ “ลดปล่อย” หรือ “ขายเครดิต” เท่านั้น แต่ต้องเน้นการปรับตัวเชิงระบบ อย่างจริงจัง:


1) ลดปล่อย (Off)


ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรมที่ต้องเร่งเปลี่ยนเครื่องจักรสู่พลังงานสะอาด ภาคการขนส่ง และภาคกษตรกรรม ซึ่งไทยควรมี “มาตรการลดปล่อย” ที่วัดผลได้ ไม่ใช่แค่เพียงเป้าหมายสวยหรูในเอกสาร


2) ชดเชย (Offset)


ชดเชยการปล่อยก๊าซด้วยกิจกรรมที่ดูดซับหรือแลกเปลี่ยน เช่น ปลูกป่าทดแทนเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเสี่ยงภัย ตลาดคาร์บอนเครดิตเพื่อสร้างกลไกซื้อ-ขายคาร์บอนที่เข้าถึงได้จริง และเกษตรอินทรีย์และเกษตรคาร์บอนต่ำที่เข้ามาช่วยส่งเสริมวิถีเกษตรที่ไม่ทำลายดิน-น้ำ-ป่า


Offset ไม่ใช่การ “ผลักภาระให้คนอื่นทำแทน” แต่คือกลยุทธ์ร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่


3) ปรับตัว (Adaptation)


การอยู่รอดของไทยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวมากกว่าการคาดหวังให้โลกร้อนน้อยลง


โดยมาตรการเชิงโครงสร้าง ดังนี้:


  • ปรับผังเมือง-ระบบระบายน้ำ-พื้นที่รับน้ำ ให้ทันสภาพอากาศสุดขั้ว

  • ออกแบบบ้าน-อาคาร-สาธารณูปโภคให้ต้านทานภัยธรรมชาติ

  • ย้ายชุมชนเปราะบางในพื้นที่เสี่ยงถาวร (relocation strategy)

  • ส่งเสริมภูมิปัญญาชาวบ้าน ด้านการจัดการน้ำ การสร้างฝาย หรือการพยากรณ์ฝน


เพราะ Adaptation = ยอมรับความจริงว่าธรรมชาติจะไม่เหมือนเดิม แต่ต้องถามต่อว่า “เราจะอยู่กับมันอย่างไร?”

การศึกษา: ตำราเดิมอาจไม่ได้ผลอีกต่อไป


ในโลกที่เปลี่ยนเร็วขึ้นทุกวัน การศึกษาแบบเดิมๆ ซึ่งกำหนดกรอบว่า “เรียนจบ-ทำงาน-เกษียณ” กำลังกลายเป็นโมเดลที่ “หมดอายุ”


ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ ใช้คำว่า “Multistage Life” เพื่อสะท้อนความจริงใหม่ของสังคม ที่คนหนึ่งคนอาจต้อง เรียน-ออกมาทำงาน-กลับไปเรียนใหม่-ย้ายสาย-เรียนซ้ำ-เปลี่ยนอาชีพ เป็นแบบนี้ตลอดช่วงชีวิต


คำว่า Multistage Life คือการปลดตำราเดิมที่เรียนจบ แล้วอกไปทำงาน แต่ในปัจจุบันนี้เราอาจต้องมีการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต (Lifelong Learning)  


กลยุทธ์การทูตไทย: จากผู้ตามสู่ผู้นำ


ในเวทีภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากโลกขั้วเดียว (Unipolar) ไปสู่โลกหลายขั้ว (Multipolar) บทบาทของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศต้องปรับตัวอย่างจริงจัง จาก “ผู้ตาม” ที่รอการขยับจากมหาอำนาจ ไปสู่ “ผู้นำเชิงรุก” ที่กล้าวางเกมก่อนคู่แข่ง


ศ.(พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ มองว่าไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนของยุทธศาสตร์การทูต โดยเฉพาะในบริบทที่ “ประเทศเพื่อนบ้านขยับเร็วกว่า” ไม่ว่าจะเป็นกรณี กัมพูชา ที่สามารถฟ้องเวทีอาเซียน, ชิงแถลงต่อ UN หรือปล่อยแถลงการณ์ภาษาอังกฤษได้ก่อนประเทศไทยในหลายกรณี จนไทยถูกมองว่าตอบสนอง “ช้าเกินไป” แม้จะมีข้อเท็จจริงหรือสถานะที่แข็งแรงกว่าก็ตาม


ประเทศไทยจึงต้องปรับยุทธศาสตร์การทูตให้ “เชิงรุก” มากขึ้น ด้วยการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ให้เร็วกว่าเดิม ไม่ใช่แค่การออกแถลงการณ์ภายใน แต่หมายถึงการ “สร้าง Narrative” ที่เข้าถึงเวทีโลก ทั้งในระดับผู้นำ รัฐบาล องค์กรระหว่างประเทศ และประชาชนทั่วโลก ผ่านเครื่องมือสื่อสารทันสมัย และบุคคลที่สามารถพูดแทนประเทศไทยได้อย่างมีพลัง


อีกหนึ่งข้อเสนอสำคัญคือการตั้ง ทูตพิเศษ (Special Envoy) ที่มีความเข้าใจบริบทเฉพาะของประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ ศ.(พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์เสนอให้ไทยส่งผู้นำทางธุรกิจระดับสูงที่มีบทบาทในรัฐต่างๆ ของอเมริกา โดยเฉพาะรัฐที่มีอิทธิพลทางการเมืองสูง เช่น รัฐรีพับลิกัน (รัฐสีแดง) ไปเจรจาเชิงนโยบายโดยตรงกับผู้ว่าการรัฐหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น เพื่อเปิดทางให้เกิดความร่วมมือระดับ sub-national ที่ไม่ผูกติดกับเกมการเมืองของรัฐบาลกลางเพียงอย่างเดียว


การทูตแบบนี้ไม่ใช่การประนีประนอม แต่คือการ “ขยับก่อน” และ “เปิดเกมก่อน” เพื่อวางตำแหน่งของไทยในแผนที่การเปลี่ยนแปลงโลก


ที่สำคัญที่สุด ไทยจะต้องไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี (Bilateral) ถูกควบคุมหรือครอบงำเพียงฝ่ายเดียวโดยมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ แต่ควรดึงความร่วมมือเหล่านั้นเข้าสู่เวทีพหุภาคี (Multilateral) อย่าง ASEAN, RCEP, ACD หรือ APEC เพื่อให้ไทยสามารถ “ถ่วงดุล” และรักษาอธิปไตยในการกำหนดยุทธศาสตร์ของตนเองได้


ศ.(พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ใช้คำว่า “Multilateralize สิ่งที่อเมริกาพยายาม Bilateralize” เพื่อชี้ให้เห็นว่า ถ้าไทยยังคงตอบสนองในกรอบที่มหาอำนาจวางไว้ โดยไม่ใช้จุดแข็งของตนเองบนเวทีภูมิภาค เราจะไม่มีวันเจรจาในเชิงที่เท่าเทียม หรือสร้างประโยชน์ให้คนไทยได้อย่างแท้จริง


บทสรุปของยุทธศาสตร์การทูตไทยในยุคใหม่จึงไม่ใช่แค่การมีพันธมิตรมากขึ้น แต่คือการ คิดให้เร็วขึ้น ลงมือก่อน และสร้างน้ำหนักต่อรอง ด้วยความพร้อมเชิงยุทธศาสตร์บนเวทีโลกที่กำลังปั่นป่วน


ท้ายที่สุดแล้ว ในยุค Global Disruption ประเทศที่นิ่ง คือประเทศที่ตกขบวน ประเทศที่นำ คือประเทศที่ “กล้าเล่นก่อนคนอื่น”



ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง