โบรกชี้เข้า MSCI กระตุ้น MAKRO แนะ “ซื้อ” มองเป้า 46 บ.
บล.อินโนเวสท์เอกซ์ แนะนำ “ซื้อ” MAKRO ให้ราคาเป้าหมาย 46.00 บาท ชี้เข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Standard Indexes เป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะสั้น แนวโน้มครึ่งปีหลังกำไรปรับตัวดีขึ้น
บล.อินโนเวสท์เอกซ์วิเคราะห์หุ้นบริษัท สยามแมคโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ระบุว่า การดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นตามคาดในไตรมาส 2/66 โดย SSS เพิ่มขึ้น มาร์จินกว้างขึ้น นำโดยธุรกิจ B2B และรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จในช่วงปลายเดือนเม.ย. ดังนั้นเราจึงคาดว่ากำไรไตรมาส 2/66 จะเติบโต YoY แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และกำไรจะปรับตัวดีขึ้น HoH ในครึ่งปีหลัง โดยเกิดจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง การนำหุ้น MAKRO เข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Standard Indexes โดยมีผลบังคับใช้ราคาปิดวันที่ 31 พ.ค. เป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะสั้น เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ MAKRO ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 46.00 บาท
ยอดขายเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/66 เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนให้ SSS ในไตรมาส 2/66 เติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับสูง YoY ในธุรกิจ B2B และอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำ YoY ในธุรกิจ B2C ทั้งนี้ในปี 2566 MAKRO วางแผนเปิดสาขาใหม่12 สาขาในประเทศไทย และอย่างน้อย 2 สาขาในต่างประเทศ สำหรับธุรกิจ B2B และเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต 3-4 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 5 สาขา และ Go Fresh 100-150 สาขาในประเทศไทย และซูเปอร์มาร์เก็ต 14 สาขาในมาเลเซีย สำหรับธุรกิจ B2C
มาร์จิ้นปรับตัวดีขึ้นนำโดยธุรกิจ B2B MAKRO คาดว่ามาร์จิ้นของธุรกิจ B2B จะปรับตัวดีขึ้นอีก YoY จากการมียอดขายสินค้ากลุ่มอาหารสด และ private brand ที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้น มาร์จิ้นของธุรกิจ B2C มีแนวโน้มที่จะทำจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/66 และจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป QoQ ในช่วงที่เหลือของปีนี้จากต่อรองกับชัพพลายเออร์และ synergy กับธุรกิจ B2B ที่มีมากขึ้น
แม้ว่าจะยังคงอ่อนตัวลง YOY จากการแข่งขัน ทั้งนี้จาก synergy ที่ตั้งเป้าไว้ทั้งหมด 2.7 พันล้านบาท นั้นบริษัทรับรู้ไปแล้ว 1.5 พันล้านบาท ในปี 2565 และอีก 1.2 พันล้านบาท จะรับรู้ในปี 2566 (รับรู้ไปแล้ว 200 ล้านบาทในไตรมาส 1/66) ในปี 2566 MAKRO คาดว่าจะสามารถควบคุมอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายในงบการเงินรวม โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายในธุรกิจ B2C ที่ลดลงจากฐานสูงของปีก่อนจากค่าใช้จ่ายในการรีแบรนด์ร้านและ IT จะถูกชดเชยด้วยอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายในธุรกิจ B2B ที่สูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขยายสาขาและธุรกิจ O2O ที่เพิ่มขึ้น
รีไฟแนนซ์หนี้เสร็จ หลังจากบริษัท เอก-ชัย ดีสทรีบิวชั่น ชิสเทม จำกัด (MAKRO ถือหุ้น 99.9%) ได้ออกหุ้นกู้มูลค่า 3.15 หมื่นล้านบาท ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 3.35% ต่อปี เมื่อวันที่ 21 เม.ย. MAKRO ก็นำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระหนี้เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐและบาทที่มีต้นทุนสูงสำหรับ Lotus’s แล้ว ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงและจะช่วยขจัดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยจากเงินกู้สกุลดอล์ลาร์สหรัฐตั้งแต่ไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป เราประเมินได้ว่า MAKRO จะประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (หลังภาษี) ได้ ~660 ล้านบาท/ปี (ช่วยหนุนให้กำไรเติบโต 8% จากฐานกำไรปี 2565)
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาลเมื่อพิจารณานโยบายค่าแรงและค่าไฟฟ้าของพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เราประเมินว่าผลกระทบต่อกำไรของ MAKRO จะมีจำกัด เนื่องจากกำไรที่จะลดลง 1 พันล้านบาท/ปี จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะถูกชดเชยโดยกำไรที่จะเพิ่มขึ้น 800 ล้านบาท/ปี จากการลดค่า Ft โดยที่ยังไม่รวมยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากกำลังซื้อที่สูงขึ้นของกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ
สำหรับนโยบายหวยใบเสร็จซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายของผู้ประกอบการ SME เราคาดว่าผลบวกเล็กน้อยต่อยอดขายธุรกิจ B2B จะถูกหักล้างโดยผลลบเล็กน้อยต่อยอดขายธุรกิจ B2C ในขณะที่จะต้องติดตามประเด็นการยกเลิกการผูกขาด และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมต่อไป
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้ออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายของรัฐบาลใหม่
จุดเด่น
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO) ประกอบธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสดและบริการตนเอง (cash & carry) ภายใต้แบรนด์ "Makro" ในประเทศไทย ประเทศกัมพูชา ประเทศจีน และประเทศเมียนมา และแบรนด์ "LOTS Wholesale Solutions" ในประเทศอินเดีย เพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป และประกอบธุรกิจนำเข้า ส่งออก และจำหน่ายอาหารแช่แข็งและแช่เย็น รวมถึงให้บริการด้านจัดเก็บและจัดส่งในธุรกิจ food service
บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) ถือหุ้น 1) 99.9% ในบริษัท โลติสส์ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (Lotus's Thailand) ซึ่งถือหุ้น 99.9% ในบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ชิสเทม จำกัด (Ek-Chai) (ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus's ในประเทศไทย) และ 2) 100% ใน Lotus's Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. (Lotus's Malaysia) ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus's ในประเทศมาเลเซีย (เรียกรวมกันว่า "Lotus’s”) หลังจากเสร็จสิ้นธุรกรรม EBT (เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ MAKRO ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ Lotus's เพื่อแลกกับธุรกิจของ Lotus's แทนการชำระด้วยเงินสด) เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2564 MAKRO มีสัดส่วนการถือหุ้น 99.99% ใน CPRD ทั้งนี้จากข้อมูลของ ยูโรมอนิเตอร์ MAKRO (ธุรกิจ B2B, business-to-business) กับ Lotus's (ธุรกิจ B2C, business-to-consumer) รวมกันกลายเป็นผู้ค้าปลีกค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อพิจารณาจากยอดขายจากการค้าปลีกในปี 2563
แนวโน้มธุรกิจ
ในปี 2566 MAKRO คาดว่ายอดขายทั้งธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C จะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับสูงถึงเลขสองหลัก YoY ในระยะกลางถึงระยะยาวยาว MAKRO ตั้งเป้าที่จะสร้างแพลตฟอร์มค้าปลีกแบบหลากหลายช่องทาง (omnichannel) ที่มุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอาหารสดในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเดียงใต้เป็นหลัก ปริบปรงธุรกิจในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย ปรับปรุงศักยภาพของระบบห่วงโซ่อุปทาน และรับรู้ประโยชน์จากการผนิกกำลังทางธุรกิจ บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจบน new S curve ด้วยแพลตฟอร์ม B2B Marketplace และรุกธุรกิจ O2O พร้อมบริการจัดส่งทั้งจาก MAKRO และ Lotus's บริษัทตั้งเป้าขยายความเป็นผู้นำในการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายออนไลน์เป็น 15-20%ของยอดขายรวมภายใน 3 ปีข้างหน้า (เทียบกับ 9.5% ของยอดขายในปี 2565) โดยได้รับการสนับสนุนจากการปรับปรุงร้านให้เป็น fulfillment center การก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ และเพิ่มความสามารถในการจัดส่ง