GULFไตรมาส4ดีดแรง รับรู้กำลังผลิตใหม่เพียบ
#GULF #ทันหุ้น – GULF ประกาศชัดกำไรไตรมาส 4 จะโตดีจากการขายไฟเพิ่มขึ้นอีก 662.5 เมกะวัตต์ ชี้กำไรปกติไตรมาส 3 ลดลงเล็กน้อยแค่ 6% ขาย IPP เป็นหลัก ผลกระทบราคาก๊าซไม่มาก เตรียมเดินหน้าจ่ายไฟอีกเพียบทั้งไตรมาส 1-2 ปี 2566 โบรกชูกำไรจะฟื้นเป็น V-Shape ให้เป้า 66 บาท
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2565ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ถึงแม้ราคาค่าก๊าซธรรมชาติจะสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม GULF ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 13-14%ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด
นอกจากนี้ GULF ได้มีการลงทุนในธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนาม ธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการลงทุนในกลุ่ม INTUCH
ทั้งนี้กำไรในไตรมาส 4/2565จะเติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 4 (662.5เมกะวัตต์) ซึ่งได้เปิดดำเนินการไปเมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2ซึ่งในไตรมาส 4 ถือเป็นช่วง High Season รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการ ภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation
สำหรับผลประกอบการในปี 2566คาดว่ากำไรจะเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GPD ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ โดยจะเปิดดำเนินการ จำนวน 2หน่วย เท่ากับ 1,325 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเริ่มรับรู้กำไรของโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,200 เมกะวัตต์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งแต่ต้นปี
@ งบ Q3 กำไรลดลงเล็กน้อย
ทั้งนี้ GULF แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/2565มีรายได้รวมเท่ากับ 24,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76%จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2-3 รวม 1,325เมกะวัตต์ และรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2ประเทศเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบเท่าตัว รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP ทั้ง 19โครงการจากราคาขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ
กำไรจากการดำเนินงาน 2,167 ล้านบาท ลดลง 6%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ลดลง 556 ล้านบาท นอกจากนี้ PTT NGD มีผลขาดทุนจำนวน 221 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันเตาต่ำลง ประกอบกับราคาก๊าซสูงขึ้น อย่างไรก็ตามโครงการโรงไฟฟ้า GSRC มีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของหน่วยที่ 2-3 และผลประกอบการที่ดีขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้า BKR2จึงส่งผลให้ภาพรวมของกำไรจากการดำเนินงานอ่อนตัวลงเพียงเล็กน้อย
โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/2565เท่ากับ 1,087 ล้านบาท ลดลง 32% เนื่องจากขาดทุนจากการบันทึกบัญชีค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง 7.3%ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัท แต่อย่างใด ในส่วนของกำไรขั้นต้นจากการขายในไตรมาส 3/2565เท่ากับ 4,466 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 20.6%ลดลงจาก 24.6%
@กำไรจะดีดรูปV-Shape
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ประเมินกำไรปกติจะฟื้นตัวแบบ V-Shape ในไตรมาส 4/2565 – ไตรมาส 2/2566โดยคาดกำไรปกติจะทำกำไรสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จากการ COD โรงการ GSRC หน่วยที่ 4การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรโครงการ Jackson ในไตรมาส 1/2566และการ COD หน่วยที่ 1ของโครงการ GPD ในไตรมาส 2/2566คงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายปี 2566ที่ 66 บาท