ค้นสินทรัพย์เด่น ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลก ลงทุนอะไรดีเช็กที่นี่!

ทั่วโลกระส่ำอีกครั้ง หลัง "ธนาคารโลก" ได้รายงาน Global Economic Prospects โดยปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.3% ในปี 2568 จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 2.7% ซึ่งเติบโตช้าสุดในรอบ 17 ปี จากผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า หลัง “ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วโลก
นอกจากนี้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในปี 2568 ลง 0.9% เหลือ 1.4% และ ปรับลดคาดการณ์ GDP ของกลุ่มประเทศยูโรโซนลง 0.3% เหลือ 0.7% ส่วนไทยจีดีพี เหลือเพียง 1.8% จากเดิมคาดโต 2.9% เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ และประเทศกำลังพัฒนา (EMDEs) รวมถึงประเทศไทย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว เป็นต้น
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยและเกิดความผันผวนของตลาดการเงิน และตลาดทุนการเสาะแสวงหาช่องทางการลงทุน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในกระเป๋าควรจะลงทุนอะไรดีที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ วันนี้พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก "วรุต รุ่งขำ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด มองว่า ทองคำเป็นสินทัพย์ที่นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนมีการขายสินทรัพย์ออกจากสหรัฐเป็นจำนวนมาก หลัง “ทรัมป์” มีการเก็บภาษีนำเข้าจากนานาชาติ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันพบว่า ราคาทองคำ gold spot ขึ้น 28.86% ทองแท่งไทยขึ้น 21.64% ซึ่งไม่เท่าราคาต่างประเทศ เพราะค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ถ้าเทียบการลงทุนประเภทอื่น เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี S&P +2.11%
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย -18.7% ส่วนบิทคอยท์ +16.91% ด้านเงินฝากประจำดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4-1.5% ดังนั้นมองว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนที่ควรมีติดพอร์ตไว้ประมาณ 7-10% เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนสินทรัพย์ประเภทอื่น และเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว
“ที่ผ่านมาเคยทดลองลงทุนทองคำมีไว้ในพอร์ตประมาณ15% และ 25% ที่เหลือลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ผลตอบแทนทองคำย้อนหลัง 20 ปี เฉลี่ยประมาณ 8-9% ซึ่งไม่แตกต่างมากนัก ดังนั้นควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนในช่วงที่ตลาดเกิดความผันผวนเพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น โดยแบ่งสัดส่วนลงทุนทองคำเป็น 3 ระยะคือ ระยะสั้น (รายวันหรือรายสัปดาห์) ระยะกลาง (รายเดือนหรือรายไตรมาส) และระยะยาว (รายปี) ด้วยการทยอยสะสม เพราะหากขายทองคำระยะสั้นไปแล้วก็ยังมีทองคำเหลืออยู่ที่จะทำกำไรได้ในอนาคต แต่คนที่ลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจในการเทรดทองคำหรือศึกษาข้อมูลได้ดีก่อน”
โดยแนวโน้มทองคำในอนาคตนั้น ยังมองราคาทองคำยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงตราบใดที่สงครามทางการค้ายังไม่ได้คลี่คลาย เพราะคนไม่มั่นใจในเศรษฐกิจโลก ขณะที่ธนาคารกลางต่าง ๆ ของโลกยังเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และขายสินทรัพย์ในสหรัฐฯ เพราะการที่ “ทรัมป์” ทำสงครามทางการค้ากับหลายประเทศทำให้ความไว้วางใจสหรัฐฯไม่เหมือนเดิม เช่น สหภาพยุโรป (อียู) จากที่เคยเป็นพันธมิตรสหรัฐฯ ก็เปลี่ยนเป็นไปเป็นพันธมิตรกับจีน และอินเดียแทน
ส่วนราคาทองช่วงครึ่งปีหลังจะขึ้นลงมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วิกฤติเศรษฐกิจมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ถ้าตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจโลกถดถอยราคาทองคำจะขึ้นเยอะ หรือการเกิดวิกฤติหงส์ดำ “Black Swan" ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด มีผลกระทบรุนแรง และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดโดยสิ้นเชิง เช่น โควิดอาจหนุนราคาทองคำดีดปรับตัวขึ้นมาก โดยสภาทองคำโลกประเมินราคาทองคำปลายปีจะแตะที่ 3,700-4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.60 บาท ราคาทองแท่งจะไปแตะที่ 57,200-61,850 บาท
โดยที่ผ่านมาราคาทองคำ Gold spot ทำ All Time High ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาก็ทำให้นักลงทุนทขายทองคำทำกำไร ซึ่งราคาทองแท่งอยู่ที่ 54,800 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ในเดือนพ.ค.ราคาทองแท่งไปแตะที่ 52,000 บาท เงินบาทแข็งอยู่ที่ 32.88-33.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นให้รกรอบแนวรับแรกที่ 3,121 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวรับถัดไปที่ 2,957 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 45,750-48,300 บาทคิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.60 บาท แนวต้านอยู่ที่ 3,437-3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 53,100-54,100 บาท
“ราคาทองคำจะขึ้นต่อเนื่องหรือไม่นั้น ต้องดูว่าเศรษฐกิจจะถดถอยหรือไม่ แต่มองว่าทองคำยังไซด์เวย์ระดับสูง เพราะนักลงทุนไม่แน่ใจปัจจัยพื้นฐานว่าสถานการณ์เกิดขึ้นว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกเมื่อไหร่ และสงครามทางการค้ายืดเยื้อต่อหรือไม่ ซึ่งเดาใจ “ทรัมป์” ไม่ถูก แม้ว่าจะมีการไกล่เกลี่ย แต่ไม่รู้ว่าตกลงแบบไหน โดยนักลงทุนมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่าง นายโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐกับ ทรัมป์ และเห็นว่า “ไบเดน” จะคำนึงถึงผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับนานาชาติ ผิดกลับ “ทรัมป์” ที่ฟาดอย่างเดียวและจะจบเมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะตกต่ำหรือไม่”
ดังนั้นมองว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน หากมีเงินเย็น ซึ่งเป็นเงินที่ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะนำเงินไปใช้อะไรก็น่าลงทุนทอง แม้ว่าไม่ได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเหมือนหุ้น แต่ผลตอบแทนดีกว่า ส่วนหุ้นถึงแม้ว่าได้เงินปันผลก็ไม่สามารถชดเชยผลขาดทุนจากหุ้นที่ลงมาได้ เพราะสงครามทางการค้ากระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน เมื่อรายได้น้อยปันผลก็น้อยลงตามไปด้วย
ฝั่ง"ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ฉายภาพให้ฟังว่า นับตั้งแต่ต้นปี 1 ม.ค. - ปัจจุบัน (10 มิ.ย.) จะพบว่า สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด อันดับ 1 คือ ทองคำ ราคาผลตอบแทนปรับขึ้นรวม 26.4% รองลงมาคือ ลงทุนในตลาดหุ้น ฮ่องกงปรับขึ้น 20.2% และลงทุนใน Crypto Currency +16.6% และตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ อาทิ ยุโรป +8.99% ส่วนการลงทุนในพันธบัตร หรือหุ้นกู้ พบว่า High Yields +4.9% และพันธบัตรในฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว ปรับขึ้น +3.27% ตรงกันข้ามกับของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปีนี้เป็นปีที่ผลตอบแทนติดลบประมาณ -18.6%
ยกตัวอย่าง หากนับตั้งแต่ต้นปีด้วยเงิน 1 แสนบาท หากลงทุนในทองคำ เงินลงทุนจากต้นปี และถือทองคำจนถึงปัจจุบัน มูลค่าทองคำจะอยู่ที่ 126,400 บาท เทียบกับลงทุนในดัชนีหุ้นฮ่องกง หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นฮ่องกง อาทิ KF-HSHARE-INDX (H-Shares ETF) ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 1 ม.ค. - ปัจจุบัน (10 มิ.ย.) อยู่ที่ + 21.7% ซึ่งการลงทุนของกองทุนจะลงทุนใน Hang Seng China Enterprises Index ETF สัดส่วน 97.28% อื่นๆรวมราว 2.72% จะพบว่ามูลค่าของกองทุน อาทิ KF-HSHARE-INDX ล่าสุดจะอยู่ที่ 121,740 บาท เป็นต้น
โดยในอนาคต ยังคงมุมมองบวกต่อทิศทางการลงทุน หลังครบเวลา 90 วันเลื่อนภาษีของ “ทรัมป์” เพราะมีโอกาสที่สหรัฐจะผ่อนคลายภาษีให้ต่อหรือ อย่างน้อยจะไม่รุนแรงไปจากเดิม แนะนำลงทุน
ตลาดหุ้น
- จีน มองบวกทั้ง หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ A-Share และหุ้น tech จีน เน้นหุ้นฮ่องกง มองปัจจัยหนุนสำคัญคือ จากสงครามการค้า สหรัฐ - จีน มีทิศทางบวก และจีนยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายการเงิน (ความเสี่ยงคือ ความสัมพันธ์การค้าสหรัฐ - จีนแย่ลง หรือ ขึ้นภาษีนำเข้ารุนแรง)
- เวียดนาม : มองบวกประชากรวัยหนุ่มสาว สูง + รัฐบาลเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐ +มี upside บวกจากโอกาสถูกขยับจาก Frontier market เป็น Emerging Market หนุนเงินไหลเข้าประเทศ
- ตราสารหนี้ (Fix income ) ทั้งในและต่างประเทศ โดยมองดอกเบี้ยสหรัฐ และในฝั่งเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น ยังมีแนวโน้มปรับลงต่อ เช่นเดียวกับในไทย คาดกนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งๆรวม 50bps จากปัจจุบัน (ความเสี่ยงคือ อัตราดอกเบี้ยไม่ลง หรือปรับขึ้น )
ส่วนทองคำนั้น คงคำแนะนำระมัดระวัง กรณีเก็งกำไรฝั่งขาขึ้นของราคาทองคำ และคงน้ำหนักการลงทุนในทองคำเป็น “Neutral” โดยปัจจัยในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเป็นลบต่อราคาทองคำมากขึ้น ทั้งจากภาพสงครามการค้าที่ผ่อนคลาย ล่าสุดสหรัฐฯ – จีน เตรียมเจรจากันรอบใหม่ น่าจะเป็นแรงหนุนให้เกิดการซื้อกลับของดอลลาร์ เป็นปัจจัยถ่วงต่อราคาทองคำในเชิงเปรียบเทียบ ยังคงมุมมองปัจจัยลบ ประเมินมีโอกาสลงไปทดสอบแนวรับ 3,245 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือต่ำกว่านั้น คือ +/-3,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นไทย ยังคงมุมมองบวก แนะนำ ทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนระยะ กลาง- ยาว แต่ระยะสั้น แนะนำเน้น Selective ประเมิน 1. ความเสี่ยงหลัก Trade Tariffs อยู่ในช่วงปลายทางและเราให้น้ำหนัก 65% มีโอกาสคลายลงจากสถานะปัจจุบันที่ 2. ตลาดสะท้อนความเสี่ยงระดับสูง อิงศาลอุทธรณ์สหรัฐมีคำสั่งชั่วคราวให้ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ CIT ทำให้ภาษีนำเข้ายังมีผลบังคับใช้ระหว่างอุทธรณ์
3. ปัจจุบันอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดมาตรการผ่อนคลายภาษีเท่าเทียมชั่วคราว 6 ก.ค. คาดช่วง มิ.ย. จะเป็นภาพเร่งเจรจาสหรัฐฯ - คู่กรณีรายประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเกินดุลกับสหรัฐฯสูงๆ และ 3. ประเมินมีโอกาส Fund Flow ของการลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นใน Emerging Markets และการ Reposition เข้าตลาดหุ้นไทยซึ่งมีจุดเด่น คือ มี Valuation ที่ Deep Discount โดยมี Current Equity Risk Premium ราว 4.91% อยู่ในโซนใกล้ AVG + 2 S.D. เน้นทยอยสะสม หุ้นขนาดใหญ่ มีปัจจัยบวก ADVANC, TRUE, GULF, MTC, BDMS, CENTEL, PTTGC, CPALL, WHA
ด้วยภาวะการลงทุนในขณะนี้และระยะต่อไป จะยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงขั้นสูง นักลงทุนจึงต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ควรกระจุกตัวในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง เผื่อประคองพอร์ตลงทุนให้สามารถฝ่าพายุลูกใหญ่ในครั้งนี้ไปให้ได้....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
