‘ดำเนินการทุกวิถีทางการทูต เพื่อปกป้องชาวเกาหลีใต้จากอาชญากรรมในกัมพูชา’ 

นี่คือคำสั่งล่าสุดของ อี แจมยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ต่อปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ การลักพาตัว และค้ามนุษย์ชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชา 

เกาหลีใต้ออกมาตรการอะไรบ้าง ? กระทบความสัมพันธ์ทางการทูตสองประเทศแค่ไหน ? 

 คำส่ังของประธานาธิบดีนี้ เกิดขึ้นหลังพบนักศึกษาวัย 22 ปี ชาวเกาหลีที่ถูกหลอกไปทำงานในกัมพูชา และพบว่าถูกทรมาน บังคับเสพยา ก่อนจะเสียชีวิตในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รวมถึงชาวเกาหลีใต้ที่ถูกลักพาตัวไปกัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ต้องใช้มาตรการทางการทูต เพื่อตอบสนองต่อปัญหาอาชญากรรมในกัมพูชา ทั้งการหลอกลวงแรงงาน และกักขังผิดกฎหมาย ที่มีชาวเกาหลีเป็นเหยื่อ 

ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ โช ฮยอน ได้เรียก คุณพล รัตนัค เอกอัครราชทูตกัมพูชาในกรุงโซล เข้ามาเพื่อแสดงความกังวลต่อสถานการณ์อาชญากรรมในกัมพูชาที่มุ่งเป้าไปยังคนเกาหลี และเรียกร้องให้กัมพูชามีมาตรการ ที่เข้มงวดขึ้นเพื่อจัดการกับการหลอกลวงออนไลน์และการกักขังที่เพิ่มขึ้น ทั้ง รมต.เกาหลีเอง ยังเรียกร้องให้รัฐบาลพนมเปญร่วมมือกับทางการเกาหลีอย่างจริงจัง จัดตั้ง ‘โต๊ะเกาหลี’ เพิ่มความร่วมมือของตํารวจสองประเทศอย่างทวิภาคี เพื่อป้องกันอันตรายต่อชาวเกาหลี และรับรองการตอบสนองอย่างรวดเร็วเมื่อมีเหตุจําเป็น

ด้านเอกอัครราชทูตกัมพูชาเอง ก็ตอบกลับว่า เข้าใจถึงความกังวล และจุดยืนของรัฐบาลเกาหลีใต้ และจะรายงานเรื่องนี้ต่อไปอย่างถูกต้องให้ทางกัมพูชา

การเรียกทูตเข้ามาในประเด็นระหว่างประเทศนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่มักเกิดขึ้น เพราะโดยทั่วไปแล้ว การประชุมหารือของสองประเทศ มักจะจัดการในระดับหัวหน้า หรือผู้อำนวยการที่ใหญ่สุดขององค์กรต่างๆ ทำให้สื่อเกาหลีใต้เองก็มองว่า การเรียกทูตกัมพูชาในครั้งนี้ เน้นย้ำถึงความกังวลอย่างร้ายแรงของรัฐบาลเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ 

ประเด็นการเรียกทูตตักเตือนนั้น อาจมองย้อนได้ว่าคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่กระทรวงต่างประเทศไทย เรียกทูตกัมพูชาเข้ามา และส่งหนังสือประท้วง กรณีการปล่อยคลิปเสียงอดีตนายกฯ แพทองธาร ซึ่งก็ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในทางการทูตเช่นกัน 

ตำรวจลงพื้นที่สอบสวน-ประเทศยกระดับแจ้งเตือนเดินทาง

ด้านตำรวจเองก็ประกาศมาตรการเช่นกัน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศว่า จะมีการเจรจาทวิภาคีกับตำรวจกัมพูชาในกรุงโซล เกาหลีใต้ โดยจะมีการลงนาม MOU เกี่ยวกับการจัดตั้งโต๊ะเกาหลี และการส่งเจ้าหน้าที่เกาหลี รวมถึงหัวหน้ากองสืบสวนสอบสวนแห่งชาติไปเยือนกัมพูชา เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ และสร้างความร่วมมือในสอบสวน ที่จะร่วมมือกับองค์กรตำรวจอาชญากรรมข้ามพรมแดน เช่น อินเตอร์โพล และอาเซียนโพลด้วย 

โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ก็ยอมรับว่าสถานที่หลอกลวงของกัมพูชามักดําเนินการอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐ และขาดอำนาจการสืบสวน ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ตํารวจเกาหลีใต้เพียงคนเดียวที่ประจําการอยู่ที่สถานทูตในพนมเปญ 

ทั้งหลังการปะทะระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลเกาหลีใต้ได้แจ้งเตือนการเดินทางไปบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อกลางปีนี้เอง รัฐบาลเกาหลีใต้ก็ได้ยกระดับการแจ้งเตือนการเดินทางไปในหลายพื้นที่ของกัมพูชา จากปัญหาสแกมเมอร์ ก่อนที่ล่าสุด จะยกระดับอีกครั้ง โดยพนมเปญนั้น ถูกเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.5 เทียบเท่าพื้นที่อย่างสีหนุวิลล์ ยอดเขาโบกอร์ และบาเวต และอีก 7 พื้นที่ ระดับภายใต้คําแนะนําการเดินทางพิเศษ ซึ่งภาครัฐได้เรียกร้องให้ประชาชนเลื่อน หรือยกเลิกแผนการเดินทาง หากมีแผนจะเดินทางไปพื้นที่เหล่านี้ 

กระทรวงการต่างประเทศเกาหลี ยังเรียกร้องให้ชาวเกาหลีใต้ไม่หลงกลโฆษณางานปลอมจากกัมพูชาที่สัญญาว่าจะมีงานที่มีค่าตอบแทนสูงเกินจริง เนื่องจากอาจกลายเป็นเหยื่อลักพาตัว ค้ามนุษย์ และสุดท้ายอาจมีส่วนร่วมในการหลอกลวงได้ด้วย 

ซึ่งทางการเองก็พบว่า มีชาวเกาหลีที่สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มอาชญากรจีนในกัมพูชาเพื่อหลอกลวงทางออนไลน์ “หลังจากได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาปฏิเสธความช่วยเหลือทางกงสุลและกลับไปยังเกาหลี และแม้หลังจากนั้นไม่นาน บางคนก็กลับไปกัมพูชาเพื่อมีส่วนร่วมในการหลอกลวงออนไลน์อีกครั้ง” กระทรวงกล่าว

ถึงแม้รัฐบาลจะออกมาตรการเด็ดขาด ยกระดับในครั้งนี้ แต่ก็ยังได้รับเสียงวิจารณ์จากประชาชนว่า ควรดำเนินการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สอบสวนไปถึงอาชญากรจีนที่อยู่เบื้องหลัง ไปถึงมองว่ารัฐบาลเริ่มนโยบายเหล่านี้ช้าเกินไป จนมีประชาชนตกเป็นเหยื่อหลายร้อยคน และถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตแล้ว 

อ่านเพิ่มเติม 

ลักพาตัว บังคับเสพยา เมื่อชาวเกาหลีเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ในขบวนการสแกมกัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ

จากศพชาวเกาหลีในกัมพูชา ทำไมคนเกาหลีเป็นทั้งเหยื่อ และผู้ปฏิบัติการในสแกมข้ามชาติ ?