พ่อค้า-แม่ค้าขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีอย่างไร?
พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ เคยสงสัยกันไหมว่า เราต้องยื่นภาษีไหม ถ้ายื่นต้องยื่นอย่างไร แตกต่างจากการยื่นภาษีเงินได้ปกติไหม วันนี้ True ID มีคำตอบมาให้แล้ว
ประชาชนผู้มีรายได้จะต้องยื่นปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนมกราคม-มีนาคม ของปีถัดไป เช่น ปีภาษี 2565 จะต้องยื่นภาษีภายในเดือนมีนาคม 2566 สำหรับการยื่นเอกสารที่กรมสรรพากร และยื่นภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ได้ถึง 31 มี.ค. 66
ผู้เสียภาษีสามารถ "ยื่นแบบภาษีออนไลน์" ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร rd.go.th ผ่านระบบ e-Filing เพื่อลดขั้นตอนการไปติดต่อที่สำนักงานสรรพากร และหากได้รับเงินคืนภาษีก็จะโอนเข้าพร้อมเพย์ตามเลขบัตรประชาชนของผู้ลงทะเบียน
ขายของออนไลน์เสียภาษีประเภทไหน
สำหรับธุรกิจออนไลน์นั้นจะต้องเสียภาษีอยู่ 2 ประเภท คือ ภาษีเงินได้ กับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยส่วนของภาษีเงินได้ธุรกิจออนไลน์จะเสียตามรูปแบบของธุรกิจ เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องตอบให้ได้ก่อนเลย ก็คือ เราเป็นบุคคลธรรมดาที่ขายของออนไลน์ หรือเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนเรียบร้อยแล้ว
โดยหากเราเป็นบุคคลธรรมดาที่ขายของออนไลน์ ก็จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ถ้าจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว ก็จะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั่นเอง
ยอดขายเท่าไร ถึงต้องยื่นภาษี
คนที่จะต้อง "ยื่นภาษี" คือคนที่มี "รายได้" หรือ "เงินได้" ตามที่กำหนด สำหรับบุคคลธรรมดาที่ต้องยื่นภาษีเมื่อมีรายได้มากกว่า 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาท/ปี
แต่ในกรณีบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากการขายของออนไลน์ จะต้องยื่นภาษีเงินได้ประเภทที่ 8 หรือ ม.40 (8) โดยยื่นแบบ ภ.ง.ด.90, 94 เมื่อมีได้รายเกิน 60,000 บาท (กรณีโสด) หรือมีรายได้เกิน 120,000 บาท (กรณีสมรส) ซึ่งในกรณีที่ทำทั้งงานประจำ และขายของออนไลน์ก็จะต้องยื่นภาษีทั้ง 2 แบบ หากรายได้ถึงตามเกณฑ์ข้างต้น
คำนวณภาษียังไง
การขายของออนไลน์ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน) ยังถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะมีวิธีการคำนวณ 2 วิธี คือ
1. (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี ตามอัตราขั้นบันได
การหักค่าใช้จ่ายในวิธีแรกสามารถทำได้ 2 แบบ
หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาๆ ได้ 60% ของรายได้
หักตามจริง
ถ้าใช้วิธีนี้อย่าลืม!! ทำบัญชีรายรับรายจ่าย และเก็บหลักฐานไว้
2.เงินได้ x 0.5% โดยจะใช้วิธีที่ 2 นี้ เมื่อเรามีรายได้เกิน 1 ล้านบาทต่อปี แล้วนำไปเปรียบเทียบกับวิธีแรก เพื่อเสียภาษีตามวิธีที่คำนวณได้มากกว่า ทั้งนี้สามารถคำนวณภาษีอย่างง่าย ภายใน 3 นาที ได้ที่ Plan Your Money
เงินได้สุทธิ (บาท) | ช่วงเงินได้สุทธิ (บาท) | อัตราภาษี | ภาษีเต็มในแต่ละขั้น (บาท) |
150,000 | 150,000 | ยกเว้น | - |
150,001-300,000 | 150,000 | 5 | 7,500 |
300,001-500,000 | 200,000 | 10 | 20,000 |
500,001-750,000 | 250,000 | 15 | 37,500 |
750,001-1,000,000 | 250,000 | 20 | 50,000 |
1,000,001-2,000,000 | 1,000,000 | 25 | 250,000 |
2,000,001-5,000,000 | 3,000,000 | 30 | 900,000 |
5,000,001 บาทขึ้นไป | - | 35 | - |
ต้องยื่นภาษีแบบไหน
ผู้ขายของออนไลน์ที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลก็ต้องยื่นภาษี ถูกจัดอยู่ในเงินได้ประเภทที่ 8 คือเงินได้จากการขายของ ซึ่งจะต้องยื่นภาษี 2 รอบ
รอบแรก: สิ้นปี ยื่นช่วงเดือน ม.ค.- มี.ค. (แบบ ภ.ง.ด. 90) จะเป็นการยื่นสรุปทั้งปีที่ผ่านมา
รอบสอง: กลางปี ยื่นช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. (แบบ ภ.ง.ด. 94) เป็นการยื่นสรุปรายได้ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) โดยสามารถใช้ค่าลดหย่อนได้ครึ่งหนึ่ง เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 จะเหลือ 30,000
ส่วนผู้ขายของออนไลน์ อาจต้องจ่าย "ภาษีมูลค่าเพิ่ม" ด้วย ในกรณีที่มีรายได้ (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT โดยเสียภาษีอยู่ที่ 7% ของรายได้ ที่สำคัญคือจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน หลังจากมียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาท
ต้องรู้จัก "ภาษีอีเพย์เมนต์ e-Payment "
ส่วนกรณีที่มีการซื้อขายหรือไม่ก็ตาม แต่มีการรับโอนเงินบ่อยครั้ง ข้อมูลในบัญชีนั้นจะถูกส่งให้สรรพากรตรวจสอบตามภาษีอีเพย์เมนต์ (e-Payment) ได้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 62 โดยกำหนดให้ทางสถาบันการเงินต้องส่งข้อมูลการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของร้านค้าให้กับทางสรรพากรตรวจสอบ เมื่อเข้าเกณฑ์เงื่อนไขดังต่อไปนี้
- มีการฝากหรือรับโอนเงินเข้าทุกบัญชี 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป ไม่ว่ายอดฝากต่อครั้ง หรือยอดรวมทั้งหมดจะเป็นกี่บาทก็ตาม
- มีการฝากหรือรับโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกัน 400 ครั้งต่อปีขึ้นไป และมียอดเงินรวมกันทั้งหมดตั้งแต่ 2 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป
ซึ่งการนับจำนวนครั้งและจำนวนเงิน นับตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. ของทุกปี โดยผู้ที่ส่งข้อมูลจำนวนเงินและจำนวนครั้งในการโอนตามเกณฑ์นี้ให้กับสรรพากร คือ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบธุรกิจบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์
โดยข้อมูลที่ต้องรายงานแก่สรรพากรคือ
- ชื่อเจ้าของบัญชี
- เลขประจำตัวประชาชน
- จำนวนครั้งที่ฝากหรือรับโอน (ยอดรวม)
- จำนวนเงินที่ฝากหรือรับโอน (ยอดรวม)
ทั้งนี้การตรวจสอบจะยังไม่ถือว่าเงินในบัญชีที่เข้าเกณฑ์เป็นรายได้ทั้งหมด จะต้องมีการวิเคราะห์กับข้อมูลอื่นๆ เพื่อพิสูจน์ก่อนว่าเป็นรายได้ประเภทใด หากตรวจสอบพบว่าเป็นรายได้จริง
3 ขั้นตอนเบื้องต้นรับมือจัดการเรื่องภาษี
ขั้นตอนที่ 1 จดบันทึกรายการซื้อ-ขายสินค้า เพื่อนำมาใช้ในการทำบัญชีรายรับรายจ่าย ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการเรื่องเงินได้ง่ายขึ้นมาก
ขั้นตอนที่ 2 เก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการค้า รวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงิน นอกจากจะช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีเราแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเมื่อสรรพากรเข้ามาขอตรวจสอบอีกด้วย
ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาและติดตามข่าวสารทางด้านการเงินอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาษี ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละปี เพราะหากไม่ได้ติดตามข่าวสารหรือขาดการศึกษาหาความรู้ทางด้านการเงินโดยละเอียดแล้ว อาจทำให้เราพลาดสูญเสียเงินจำนวนมากไปโดยใช่เหตุ อันเกิดจากความไม่รู้ของเรานั่นเอง
ข้อมูลจาก Krungsri Guru , กรมสรรพากร , bangkokbiznews
ข่าวที่เกี่ยวข้อง