ฮั่วเซ่งเฮง ชูเป้าทองปี 69 มีลุ้น $4,700

นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยในงานสัมมนา SCB WEALTH : Holistic Wealth Forum 2025 ภายใต้ธีม Storm Shift ในหัวข้อ Golden Portfolio Defense in a Volatile Era : ทองคำ สมอเรือแห่งพอร์ตการลงทุนยุคผันผวน ว่า ราคาทองคำต่างประเทศ ในปี 2568 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ระดับ 4,381 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ให้ผลตอบแทนสูงถึง 67% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 46 ปี ขณะที่ราคาทองคำในประเทศไทย แตะระดับสูงสุดที่ 67,400 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 59% สำหรับแนวโน้มภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าราคาทองคำโลกจะเคลื่อนไหวบริเวณ 4,200 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
ส่วนในปี 2569 แม้ว่าราคาทองคำจะอยู่ในระดับสูงแล้ว แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำขยับขึ้นต่อได้ เพียงแต่ผลตอบแทนอาจไม่ได้สูงเท่ากับในปี 2568 โดยคาดว่าราคาทองคำโลก สิ้นปี 2569 อาจมีโอกาสแตะที่ระดับ 4,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
จากมุมมอง 11 สถาบันการเงินชั้นนำของโลก มองว่า ราคาทองคำในตลาดโลกปี 2569 ยังมีโอกาสขึ้นสู่ระดับ 4,500 - 5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หาก 3 ปัจจัยนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน อันได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนของมาตการตอบโต้ภาษีการค้า 2) การเข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และ 3) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ถูกแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ปัจจัยเพิ่มเติมที่หนุนราคาทองคำ ได้แก่ หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น และกระแสความพยายามลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก (De-dollarization)
ทั้งนี้ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนได้ดีในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวน แต่หากสะสมทองคำมากเกินไปก็อาจจะทำให้เสียโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ แม้ในปีนี้ทองคำจะให้ผลตอบแทนสูง แต่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตในระยะยาว ไม่ใช่ให้ผลตอบแทนกว่า 60% ต่อปีแบบนี้ทุกปี ดังนั้น ไม่แนะนำให้นักลงทุนกระโดดเข้าไปลงทุนในช่วงที่ราคาสูง อาจทยอยเข้าซื้อในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 3,700-3,800 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
"นักลงทุนไม่ควรเพิ่มสัดส่วนทองคำมากเกินไป เพราะอาจทำให้เสียโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ และไม่ควรไล่ซื้อในช่วงราคาสูง มองว่า ช่วง 3,700 -3,800 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ เป็นระดับที่เหมาะสมในการทยอยสะสม" นายธนรัชต์ กล่าว
สำหรับพฤติกรรมนักลงทุนไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการซื้อทองคำแท่งเพื่อออมมากขึ้น ขณะที่การซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับลดลง และอายุเฉลี่ยของนักลงทุนในทองคำลดลงเหลือ 20 -30 ปี จากอดีตที่นิยมเริ่มลงทุนเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีเงินเก็บสะสมสามารถซื้อทองคำแท่งได้ แต่ปัจจุบันมีช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์มการลงทุนในทองคำที่หลากหลาย เช่น กองทุน ETF ทองคำ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้ซื้อ-ขายแบบเรียลไทม์ ทำให้ราคาทองคำมีความผันผวนมากขึ้นตามพฤติกรรมการซื้อ-ขายที่รวดเร็ว
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets : SCB FM) กล่าวว่า ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาลง ทองคำมักให้ผลตอบแทนได้ดี เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ อีกทั้งราคาทองคำในตลาดโลกและเงินบาทมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง กล่าวคือ เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าตาม จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำด้วยสกุลเงินบาทแตกต่างจากการลงทุนทองคำด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าอีกเล็กน้อย เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปลายปี 2) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ในเดือนธันวาคม และ3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้น หนุนให้บาทแข็งค่าตามได้
ส่วนในปี 2569 มองว่าเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าได้ เนื่องจาก 1) ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากเทรนการลงทุนด้าน AI ที่จะดำเนินต่อไป หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ 2) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในปีหน้าและ 3) ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลง รวมถึงผลของราคาทองคำต่อเงินบาทอาจมีน้อยลง โดยมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปี 2569 อยู่ที่ประมาณ 33.00 -34.00 บาท
นักลงทุนไทยยังเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก (Home Bias) โดยลงทุนในต่างประเทศเพียง 10%ของเงินลงทุนรวมทั้งหมด ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกมากกว่า 20% จึงขอแนะนำให้กระจายพอร์ตไปยังสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน การเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ (FCD) เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ลงทุนบริหารสกุลเงินได้อย่างยืดหยุ่น โดย ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568 พบว่า มูลค่าเงินฝากในบัญชี FCD ของไทย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 จำนวนบัญชีเพิ่มจาก 120,000 บัญชี เป็น 7.2 ล้านบัญชี