นพ.ยงห่วงสวมแมสก์ปิดกั้นการเรียนรู้ภาษาเด็กเล็ก
วันนี้ ( 18 พ.ย. 64 )ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Yong Poovorawan” ในประเด็น “การใส่หน้ากากอนามัย กับการพัฒนาการของเด็ก” โดยได้ระบุข้อความว่า
“ในภาวะปกติใหม่ (new normal) หรือภาวะปกติต่อไป (next normal) การใส่หน้ากากอนามัยเป็นผลดีในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคในระบบทางเดินหายใจ ไม่ใช่เฉพาะโควิด-19 เท่านั้น แม้กระทั่งวัณโรคที่เป็นปัญหาในประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน ในช่วงเด็กกำลังพัฒนา สิ่งที่สำคัญโดยเฉพาะเด็กเล็ก จะต้องมีการเรียนรู้ทางด้านภาษา โดยเฉพาะการพูดและการฟัง ในการพูด ถ้ามีหน้ากากอนามัยก็อาจจะทำให้การพูดลำบากกว่าปกติ การสะกดเสียงต่างๆ และในการฟัง การเรียนรู้ จะมีทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทาง (verbal และ nonverbal) ในภาษาท่าทาง การฟังเสียงพูดเด็กจะสังเกตริมฝีปาก สีหน้า ของผู้พูด และจะมีการเข้าใจความหมายที่พูดได้เพิ่มขึ้น
การใส่หน้ากากอนามัย ก็อาจจะมีผลในการปิดกั้นพัฒนาการทางด้านการเรียนรู้ทางด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาพูด และภาษาท่าทางของเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็ก โดยทั่วไปเด็กต่ำกว่า 2 ขวบก็ไม่ควรใส่หน้ากากอนามัย รวมทั้งเด็กเล็กที่อยู่ในบ้าน
สิ่งที่สำคัญคืออยากให้โรคนี้สงบอย่างรวดเร็ว และใช้ชีวิตกลับสู่ปกติ ถึงแม้ว่า จะมีภาวะปกติต่อไป หรือ next normal บางสิ่งบางอย่างที่เพิ่มขึ้น ก็อาจจะมีความจำเป็นทางด้านพัฒนาการของเด็ก
ถ้าอยากให้โรคโควิด-19 สงบ ทุกคนควรจะได้รับวัคซีนให้เกิดภูมิต้านทาน ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจะช่วยลดความรุนแรงของโรค และต่อไปถึงแม้ว่าจะมีการติดเชื้อ ก็จะไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย เชื้อจะไปกระตุ้นภูมิต้านทานของเราให้เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา และเราก็จะอยู่กับโรคโควิด-19 เหมือนโรคทางเดินหายใจอื่นๆ
จึงอยากจะเชิญชวนให้ทุกคนได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็มก่อน และในที่สุดทุกคนก็จะต้องได้รับการกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อให้ภูมิคงอยู่ และอยู่นาน ต่อไปชีวิตต่างๆ ก็จะค่อยๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ”
ข้อมูลจาก : ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
ภาพจาก : AFP