รีเซต

ประชามติ 3 ครั้ง ภาระหมื่นล้าน–โจทย์การเมือง 4 เดือนอนุทิน

ประชามติ 3 ครั้ง ภาระหมื่นล้าน–โจทย์การเมือง 4 เดือนอนุทิน
TNN ช่อง16
11 กันยายน 2568 ( 10:36 )
25

ประชามติ 3 ครั้ง ภาระการเมือง–การเงิน กับโจทย์ 4 เดือนของรัฐบาลอนุทิน

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเกมการเมืองไทย ศาลมีมติเสียงข้างมากว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องผ่านประชามติถึง 3 ครั้ง แม้เปิดช่องให้รวมการลงประชามติรอบแรกและรอบที่สองได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วประเทศยังต้องจัดประชามติรับรองร่างฉบับสมบูรณ์อีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างภาระทางงบประมาณ แต่ยังเพิ่มแรงกดดันทางการเมืองต่อรัฐบาลชุดใหม่ที่ต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขเวลาจำกัดเพียง 4 เดือนตามข้อตกลงกับพรรคประชาชน

โจทย์ใหญ่จึงไม่ได้อยู่แค่การลงประชามติครบตามกรอบกฎหมาย แต่คือการบริหาร “เวลาการเมือง” ที่สังคมจับตาอย่างใกล้ชิด รัฐบาลอนุทินเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในเชิงตัวเลข การผลักดันคำถามประชามติและการจัดสรรงบประมาณอาจติดขัดได้ทุกเมื่อหากฝ่ายค้านเลือกใช้ยุทธวิธีนับองค์ประชุมหรือบอยคอต อีกด้านหนึ่ง กระแสสังคมก็เร่งเร้าให้การยุบสภาเกิดขึ้นเร็วกว่ากรอบ 4 เดือน งานวิจัยเชิงสำรวจบางชุดสะท้อนว่ากว่าครึ่งของผู้ตอบต้องการ “ยุบสภาทันที” และเสียงจำนวนไม่น้อยเสนอว่าการแก้รายมาตราอาจตอบโจทย์มากกว่าการรื้อทั้งฉบับ นี่คือความท้าทายของรัฐบาลในการสื่อสารกับประชาชนว่าทำไมการจัดประชามติหลายรอบในเวลาสั้นจึงมีความหมาย

ปัญหาที่สั่นสะเทือนมากพอ ๆ กับไทม์ไลน์คือข้อห้ามเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ศาลชี้ชัดว่าประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิเลือก สสร. ได้เอง ทำให้ศูนย์กลางการตัดสินใจกลับมาอยู่ที่รัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นการคัดบุคคลมาร่าง การกำหนดวิธีรับฟังความคิดเห็น หรือขั้นตอนส่งร่างเข้าสู่ประชามติ ความชอบธรรมที่เคยหวังว่าจะเกิดจากการเลือก สสร. โดยตรง จึงต้องหากลไกใหม่มาทดแทน เช่น คณะร่างที่มีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน และการตรวจสอบแบบเปิดเผยเพื่อให้สังคมมั่นใจว่าไม่ถูกผูกขาดโดยพรรคการเมือง

ต้นทุนประชามติหมื่นล้าน คำถามความคุ้มค่าของประชาธิปไตย

ในมิติทางเศรษฐกิจ การจัดประชามติแต่ละครั้งไม่ใช่เพียงขั้นตอนประชาธิปไตยเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังเป็นภาระทางการเงินขนาดใหญ่ ข้อมูลจากคณะกรรมการการเลือกตั้งเคยระบุว่าการทำประชามติหนึ่งครั้งมีค่าใช้จ่ายราว 3,200 ล้านบาท หากต้องจัดตามคำวินิจฉัยศาลถึง 3 ครั้ง ตัวเลขรวมจะสูงถึง 9,600 ล้านบาท เทียบเท่าการเลือกตั้งทั่วไปหนึ่งครั้งเต็ม ๆ แม้ศาลเปิดช่องให้รวมรอบที่หนึ่งและสองได้ แต่สุดท้ายก็ยังต้องทำประชามติรับรองฉบับสุดท้ายอย่างน้อยหนึ่งครั้งอยู่ดี

เมื่อเจาะลึกองค์ประกอบค่าใช้จ่ายจะพบว่ามีหลายมิติ เช่น ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งราว 95,000–100,000 หน่วยทั่วประเทศ ค่าพิมพ์บัตรเลือกตั้งและขนส่ง ค่าสื่อสาร ระบบรักษาความปลอดภัย และการเตรียมอุปกรณ์เลือกตั้งที่ต้องใช้ใหม่ทุกครั้ง หากอ้างอิงโครงสร้างการใช้จ่ายเมื่อปี 2563 พบว่าเพียงเฉพาะ กกต. ต้องใช้งบราว 3,000 ล้านบาท ขณะที่รัฐสภาใช้อีกประมาณ 1,000–2,000 ล้านบาท สำหรับการสนับสนุนด้านเอกสารและกระบวนการทางกฎหมาย นั่นทำให้ประชามติหนึ่งรอบมีต้นทุนรวม 4,000–5,000 ล้านบาทในบางกรณี

หากเทียบกับการเลือกตั้งท้องถิ่น เช่น การเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศเมื่อปี 2568 มีค่าใช้จ่ายรวม 3,563 ล้านบาท หรือการเลือกตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นทั้งหมดซึ่งประเมินไว้ราว 7,791–9,000 ล้านบาท จะเห็นว่าการทำประชามติหลายรอบมีภาระงบประมาณไม่ต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติหนึ่งครั้งเต็ม ๆ เลยทีเดียว

เมื่อนำตัวเลขนี้ไปเปรียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่มีวงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท การจัดประชามติสามครั้งกินสัดส่วนเพียง 0.26% ของงบทั้งหมด แต่คำถามคือ รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีเวลาทำงานเพียงสี่เดือนจะอธิบายกับสังคมอย่างไร ว่าการใช้เงินเกือบหมื่นล้านบาทในสถานการณ์ที่งบประมาณด้านอื่นยังตึงตัวจะ “คุ้มค่า” และ “สร้างผลลัพธ์” ได้จริง

ปัจจัยแวดล้อมยังทำให้ต้นทุนอาจสูงกว่าที่คาด หากมีมาตรการเสริม เช่น เพิ่มจำนวนหน่วยเลือกตั้งเพื่อลดความแออัด หรือใช้เทคโนโลยีใหม่ด้านความปลอดภัย ขณะที่มาตรการรักษาความปลอดภัยหลังการเมืองตึงเครียดก็อาจดันค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อรวมกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่จากภาระค่าครองชีพและต้นทุนพลังงานสูง นี่คือโจทย์ที่รัฐบาลอนุทินต้องตอบให้ได้ว่าจะเดินเกมประชามติอย่างไรไม่ให้ถูกมองว่าเป็น “ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย” ในช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลอนุทินต้องรับมือกับวาระเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจ ทั้งค่าครองชีพ ปัญหาพลังงาน และความเชื่อมั่นการลงทุน รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีอายุการทำงานเพียง 4 เดือนจึงต้องเลือกว่า “ศึกไหนควรสู้ ศึกไหนควรเลี่ยง” เพราะการพยายามทำทุกอย่างพร้อมกันอาจทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้เลย การจัดลำดับความสำคัญระหว่างการเดินเกมประชามติ การแก้โจทย์เศรษฐกิจสั้น และการประคองเสถียรภาพในสภา จึงเป็นเดิมพันที่ชี้วัดความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้

คำถามใหญ่จึงยังคงค้างคาอยู่: ประเทศไทยจะหาทางออกได้จริงหรือไม่ภายใต้กรอบ 4 เดือน เมื่อเวลานับถอยหลัง งบประมาณมีจำกัด และความคาดหวังจากประชาชนสูงขึ้นทุกวัน หากประชามติกลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่กินเวลาโดยไม่สร้างฉันทามติจริง ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจยืดยาวออกไป และนั่นอาจเป็น “ต้นทุนที่แพงที่สุด” ที่ทั้งรัฐบาลและประชาชนต้องร่วมกันจ่าย

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง