รีเซต

จับตายุบสภา รัฐบาลอนุทินกับเดดไลน์ 4 เดือนตาม MOA

จับตายุบสภา รัฐบาลอนุทินกับเดดไลน์ 4 เดือนตาม MOA
TNN ช่อง16
1 ธันวาคม 2568 ( 20:20 )

การเมืองไทยบนรอยต่อยุบสภา

ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2568 การเมืองไทยเดินหน้าเข้าสู่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ภายใต้รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ซึ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเลือกขึ้นเป็นนายกฯ คนใหม่ของประเทศ 

รัฐบาลชุดนี้ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็น “รัฐบาลชั่วคราว” หรือ “รัฐบาลขัดตาทัพ” ที่เกิดขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งถูกวินิจฉัยว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง และส่งผลให้คณะรัฐมนตรีชุดเดิมพ้นตำแหน่งทั้งคณะทันที 

หัวใจรัฐบาลเฉพาะกาล MOA และเส้นตาย 4 เดือน

แกนสำคัญของรัฐบาลอนุทินคือ “บันทึกความเข้าใจ” หรือ MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน (อดีตพรรคก้าวไกล) ที่ตกลงกันให้จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพื่อป้องกันสุญญากาศทางอำนาจ โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่า ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับจากวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

ข้อมูลจากเอกสารและคำชี้แจงในสภาระบุว่า รัฐบาลอนุทินยืนยันต่อที่ประชุมรัฐสภาวันที่ 30 กันยายน 2568 ว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 31 มกราคม 2569 

นั่นหมายความว่า ทุกการตัดสินใจทางการเมืองตั้งแต่ปลายปี 2568 เป็นต้นไป ถูกกำกับด้วย “เดดไลน์ทางการเมือง” ที่ชัดเจน การยุบสภาไม่ได้เป็นเพียงความเป็นไปได้ แต่แทบจะกลายเป็นภาระผูกพันของรัฐบาลชุดนี้

ย้อนจุดเปลี่ยนปี 2568 จากซักฟอก “แพทองธาร” สู่ “อนุทิน” ขึ้นแท่นนายกฯ

หากไล่ดูไทม์ไลน์ปี 2568 จะเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน แต่สะสมมาตั้งแต่ต้นปี

มีนาคม 2568 – รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เผชิญศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่างวันที่ 24–26 มีนาคม 2568 ท่ามกลางแรงกดดันจากฝ่ายค้านและกระแสสังคม แม้จะผ่านมติไม่ไว้วางใจมาได้ แต่คะแนนนิยมเริ่มสั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด 

29 สิงหาคม 2568 – ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ น.ส.แพทองธาร พ้นตำแหน่งนายกฯ พร้อมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ส่งผลให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้สมการการเมืองที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 

ต้นกันยายน 2568 – พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนบรรลุ MOA จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ ผลคือที่ประชุมสภาฯ มีมติเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 

จากจุดนี้ ประเทศไทยจึงเข้าสู่ยุครัฐบาล “ขัดตาทัพ” ที่มีอายุชัดเจน และมีเป้าหมายหลักคือการคลี่ทางตันทางการเมือง พร้อมเตรียมไปสู่การเลือกตั้งรอบใหม่ภายใต้กติกาที่กำลังอยู่ระหว่างการถกเถียงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เปิดสภา 10–12 ธ.ค. สภาในโหมด “เวลาจำกัด”

ปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 10 ธันวาคม 2568 และเรียกประชุมรัฐสภาสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สองในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 

การเปิดประชุมในจังหวะที่รัฐบาลเหลือเวลาไม่นาน ก่อนเดดไลน์ยุบสภา มีความหมายทางการเมืองอย่างน้อย 3 ประการ

ใช้สภาเคลียร์วาระจำเป็น เช่น วาระเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายสำคัญบางฉบับ ที่ต้องใช้กลไกสภารองรับ

เป็นเวทีสร้างภาพจำรอบสุดท้าย ให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ส่งสัญญาณต่อฐานเสียงก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว

เปิดช่อง “คาบเกี่ยว” ระหว่างการประชุมสภาและการยุบสภา ที่อาจทำให้เกิดคำถามเชิงกฎหมายและการเมือง หากมีการยุบสภาแทรกเข้ามาระหว่างวาระแก้รัฐธรรมนูญ 

ยุบสภา โอกาสเกือบเต็มร้อย และเหตุผลเชิงการเมือง

เมื่อพิจารณาทั้งจากเงื่อนไข MOA เส้นตาย 31 มกราคม 2569 และสัญญาณจากตัวนายกฯ เองที่เคยระบุว่า “หากสถานการณ์จำเป็นก็ไม่มีทางเลือก นำไปสู่การยุบสภา” ความเป็นไปได้ในการยุบสภาระหว่าง ธันวาคม 2568 – มกราคม 2569 จึงถูกประเมินว่ามีระดับสูงมาก

เหตุผลสำคัญ ได้แก่

  • ข้อผูกพันจาก MOA  พรรคภูมิใจไทยให้สัญญาไว้กับพรรคประชาชนและสังคมว่า รัฐบาลชุดนี้จะคืนอำนาจให้ประชาชนภายใน 4 เดือน ไม่ทำตัวเป็นรัฐบาลยืดเวลา 
  • การชิงจังหวะก่อนถูกซักฟอกเต็มรูปแบบ  แม้ยังไม่มีญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอนุทินอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายค้านอาจใช้สิทธิตามเวลา หากรัฐบาลอยู่ต่อเกินระยะที่ตกลงไว้ การ “ชิงยุบ” จึงลดความเสี่ยงต่อการเปิดแผลบนเวทีสภา
  • การวางกลยุทธ์เลือกตั้งของแต่ละพรรค  โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่ต้องคำนวณว่า เวลาใดจะทำให้ภาพจำ “รับเผือกร้อนช่วงสั้น” สร้างคะแนนได้มากกว่าภาพ “รัฐบาลที่ลากเวลา”

สามขั้วหลักในสนามใหม่ เกมวัดใจเลือกตั้งต้นปี 2569

หากยุบสภาตามที่คาด การเลือกตั้งใหม่ที่น่าจะเกิดในช่วงกุมภาพันธ์–มีนาคม 2569 จะถูกจับตาในฐานะ “ศึกสามขั้ว” ระหว่าง

  • พรรคประชาชน – ที่สืบทอดฐานคนรุ่นใหม่และแนวคิดก้าวหน้าจากการรีแบรนด์ของพรรคก้าวไกลเมื่อปี 2567 
  • พรรคภูมิใจไทย – ในฐานะแกนนำรัฐบาลเฉพาะกาล ที่ต้องพิสูจน์ว่าบทบาท “ผู้แก้ทางตัน” จะกลายเป็นคะแนนนิยม หรือย้อนกลับมาเป็นแรงต้าน
  • พรรคเพื่อไทย – ที่กำลังปรับยุทธศาสตร์และแคนดิเดตนายกฯ ใหม่ ภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ต้องตอบคำถามต่อสังคมทั้งในด้านจริยธรรมและทิศทางนโยบายในอนาคต

สำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ สิ่งที่เห็นชัดคือ ประเทศกำลังเข้าสู่ช่วง “นิ่งชั่วคราวแต่ไม่แน่นอนระยะยาว” รัฐบาลอนุทิน 1 มีข้อจำกัดในการผลักดันนโยบายใหญ่ ในขณะที่ทุกพรรคหันไปโฟกัสการเตรียมตัวลงสู่สนามเลือกตั้งเต็มรูปแบบ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง