รีเซต

ฉ้อโกง vs ฉ้อโกงประชาชน ต่างกันอย่างไร โทษหนักแค่ไหน

ฉ้อโกง vs ฉ้อโกงประชาชน ต่างกันอย่างไร โทษหนักแค่ไหน
TNN ช่อง16
3 ธันวาคม 2568 ( 13:58 )

ฉ้อโกงสองแบบในประมวลกฎหมายอาญา ทำไมต้องแยกให้ชัด

กระแสข่าวคดีหลอกลงทุน แชร์ลูกโซ่ และการโพสต์ขายของปลอมบนโซเชียล ทำให้คำว่า “ฉ้อโกง” และ “ฉ้อโกงประชาชน” ถูกพูดถึงบ่อยขึ้น แต่ในทางกฎหมาย ทั้งสองความผิดมีฐานะต่างกันอย่างสำคัญ ทั้งด้านองค์ประกอบความผิด อัตราโทษ และสิทธิการยอมความ ผู้เสียหายจึงควรรู้ให้ชัดว่าคดีที่ตัวเองเจอเข้าข่ายแบบไหน เพื่อจะได้วางแผนดำเนินคดีได้ถูกต้อง


ฉ้อโกงธรรมดา มาตรา 341 คืออะไร

ความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 คือการ “หลอกแล้วได้ทรัพย์” โดยมีสาระสำคัญคือ

  • มีการ แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรบอก

  • กระทำ โดยทุจริต เพื่อให้ผู้ถูกหลอกหลงเชื่อ

  • ผลคือ ทำให้ผู้ถูกหลอก ยอมมอบทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่น หรือทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ให้ผู้กระทำหรือบุคคลที่สาม(drthawip.com)

โทษตามมาตรา 341
จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(Legardy)

ตัวอย่างสถานการณ์ที่มักเข้าข่ายฉ้อโกงธรรมดา เช่น

  • เพื่อนสนิทหลอกขอยืมเงิน โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีเจตนาจะคืน

  • หลอกขายของให้ “คนเฉพาะราย” แบบตัวต่อตัว ไม่ได้ประกาศหรือเปิดรับคนทั่วไป

ในภาพรวม ฉ้อโกงธรรมดาจึงเป็นคดีที่กระทบผู้เสียหายรายบุคคลโดยตรงและไม่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของสาธารณะในวงกว้าง

ฉ้อโกงประชาชน มาตรา 343 เมื่อหลอก “ทั้งสังคม” ไม่ใช่แค่คนเดียว

มาตรา 343 เป็นการยกระดับความผิดฉ้อโกงที่มีเป้าหมายไปที่ “สาธารณะ” ไม่ใช่เฉพาะบุคคล โดยบัญญัติว่า หากการกระทำตามมาตรา 341

  • กระทำด้วยการ แสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือ

  • ปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน

ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(drthawip.com)

จุดเน้นอยู่ที่ “เจตนาหลอกประชาชนทั่วไป” ไม่ได้วัดจากตัวเลขผู้เสียหาย ว่ามี 1 คน 10 คน หรือ 1,000 คน หากลักษณะการสื่อสารเป็นแบบเปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วม เช่น

  • โพสต์รับโอนเงินลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย โดยให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ

  • เปิดโครงการแชร์ลูกโซ่ รับคนทั่วไปร่วมลงทุน

  • ประกาศรับฝากเงิน ออมเงิน ลงทุนออนไลน์ โดยไม่มีธุรกิจจริงรองรับ

แม้สุดท้ายจะมีผู้โอนเงินมาเพียงรายเดียว แต่หากเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วม ก็มีโอกาสเข้าข่าย “ฉ้อโกงประชาชน” ได้

หากการหลอกลวงมีลักษณะรุนแรงขึ้น เช่น แสดงตนเป็นบุคคลอื่น หรืออาศัยความเบาปัญญา เด็ก หรือผู้มีจิตอ่อนแอ โทษจะขยับเป็น จำคุก 6 เดือน ถึง 7 ปี และปรับ 10,000 – 140,000 บาท ตามมาตรา 342 ประกอบมาตรา 343 วรรคสอง(drthawip.com)


เทียบสถานะคดี ฉ้อโกงธรรมดา vs ฉ้อโกงประชาชน

1 ฉ้อโกงธรรมดา ความผิดต่อส่วนตัว ยอมความได้

ฉ้อโกงมาตรา 341 จัดเป็น “ความผิดอันยอมความได้” ตามมาตรา 348 ผู้เสียหายต้องดำเนินการดังนี้

  • ต้อง ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด มิฉะนั้นสิทธิร้องทุกข์จะขาดอายุความ(drthawip.com)

  • หากคู่กรณี ตกลงชดใช้หรือไกล่เกลี่ยกันได้ สามารถยอมความหรือถอนฟ้อง ทำให้คดีระงับลงได้

  • โดยทั่วไป อัยการจะฟ้องได้ก็ต่อเมื่อมีการร้องทุกข์จากผู้เสียหายก่อน

กล่าวง่าย ๆ คือ ฉ้อโกงธรรมดาคือความผิดที่ให้ “สิทธิผู้เสียหาย” เป็นศูนย์กลาง ผู้เสียหายจะเดินหน้าเอาเรื่องหรือไม่ก็มีผลต่อการเดินคดีอย่างมาก

2 ฉ้อโกงประชาชน คดีอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้

ในทางกลับกัน ฉ้อโกงประชาชนมาตรา 343 ถูกจัดเป็น “คดีอาญาแผ่นดิน” เพราะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่นของสาธารณะ รัฐจึงต้องเข้ามาจัดการเองอย่างจริงจัง

ลักษณะสำคัญคือ

  • ยอมความไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะยอม หรือยกโทษให้ ผู้กระทำผิดก็ยังอาจถูกดำเนินคดีต่อไป

  • อัยการสามารถฟ้องได้แม้ไม่มีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย หากเห็นว่าข้อเท็จจริงเข้าข่ายและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ(Sorasak Law)

  • ไม่มีเงื่อนไขให้ต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน แต่ยังอยู่ภายใต้อายุความฟ้องคดีทางอาญา ซึ่งโดยโทษระดับนี้มักใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 95 ของประมวลกฎหมายอาญา(drthawip.com)

แม้การชดใช้ค่าเสียหายหรือคืนทรัพย์ให้ผู้เสียหายอาจช่วยให้ศาลเห็นถึงการสำนึกผิดและลดโทษได้ แต่จะ ไม่ทำให้คดีสิ้นสุดลงเอง ต่างจากฉ้อโกงธรรมดาอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวอย่างให้เห็นภาพ ต่างกันตรงไหนกันแน่

กรณีที่ใกล้เคียงฉ้อโกงธรรมดา

  • หลอกเพื่อนสนิทว่าเดือดร้อนเงิน ขอให้ช่วยโอนมาให้ชั่วคราว ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะไม่คืน

  • ติดต่อขายโทรศัพท์มือสองให้คนรู้จักเพียงคนเดียว อ้างสเปกเกินจริงโดยไม่มีการประกาศขายให้สาธารณะ

ทั้งสองกรณีเป็นการหลอกลวง “คนเฉพาะราย” ไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วม จึงมักเป็นฉ้อโกงธรรมดา

กรณีที่มีลักษณะฉ้อโกงประชาชน

  • เปิดเพจเฟซบุ๊กหรือช่อง TikTok รับสมัครสมาชิกลงทุน โดยระบุผลตอบแทนสูงผิดปกติ เปิดให้คนทั่วไปโอนเงินได้

  • โพสต์ขายสินค้าราคาถูกมากแบบ “พรีออร์เดอร์” จ่ายก่อนส่งทีหลัง โดยไม่ได้ตั้งใจส่งของจริง

  • โฆษณารับฝากเงินหรือออมเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยใช้ข้อความชวนเชื่อทั่วไปให้คนจำนวนมากสนใจ

จุดร่วมคือ มีการ “แสดงข้อความต่อสาธารณะ” เปิดให้ใครก็ได้เข้ามาเป็นเหยื่อ แม้สุดท้ายจะมีผู้โอนเงินจริงเพียงรายเดียวก็ยังเข้าข่ายได้



ผู้เสียหายควรทำอย่างไร เมื่อสงสัยว่าโดนฉ้อโกง

  1. รวบรวมหลักฐานให้ครบ
    สลิปโอนเงิน แชต ภาพหน้าจอโพสต์โฆษณา คลิปวิดีโอ ข้อตกลงการลงทุน ล้วนเป็นหัวใจสำคัญในการพิสูจน์คดี

  2. ประเมินลักษณะคดีเบื้องต้น

    • หากเป็นการคุยกันเฉพาะตัวต่อตัว ไม่ได้เปิดรับคนทั่วไป อาจเอนเอียงไปทางฉ้อโกงธรรมดา

    • หากมีการโพสต์เปิดให้ “ใครก็ได้” เข้ามาโอนเงิน มีแนวโน้มเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน

  3. รีบแจ้งความโดยเร็วที่สุด

    • ในกรณีฉ้อโกงธรรมดา ผู้เสียหายควรแจ้งความให้ทันกรอบ 3 เดือนนับแต่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำผิด เพื่อลดปัญหาเรื่องอายุความภายหลัง

    • แม้กรณีฉ้อโกงประชาชนจะไม่มีกรอบ 3 เดือนแบบเดียวกัน แต่การแจ้งความเร็วจะช่วยให้ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานได้ง่ายขึ้น

  4. ปรึกษาทนายความหรือหน่วยงานยุติธรรม
    หากมูลค่าความเสียหายสูง หรือมีผู้เสียหายจำนวนมาก การมีที่ปรึกษาทางกฎหมายจะช่วยให้วางกลยุทธ์ทั้งคดีอาญาและการฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายได้รอบด้านยิ่งขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง