รีเซต

Exclusive by วิศรุต หล่าสกุล: “สายตาหลอกกันไม่ได้” สรุป “สายตาออดอ้อน” น้องหมา มีไว้เพื่อมนุษย์จริงหรือ ?

Exclusive by วิศรุต หล่าสกุล: “สายตาหลอกกันไม่ได้” สรุป “สายตาออดอ้อน” น้องหมา มีไว้เพื่อมนุษย์จริงหรือ ?
TNN ช่อง16
21 พฤษภาคม 2567 ( 16:32 )
14

ว่ากันว่า สุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ทุกอากัปกิริยาที่แสดงออกมา ส่วนมากจะได้รับการมองว่าน่ารัก น่าเอ็นดูทั้งสิ้น โดยเฉพาะการที่สุนัข “ทำสายตาออดอ้อน (Adorable eyes)” มนุษย์เราเห็นทีไรต้องเป็นต้องใจอ่อน 


แต่มีงานศึกษาออกมาชี้ชัดว่า พวกสุนัขไม่ได้แสดงพฤติกรรมอย่างที่ว่าเพื่อออดอ้อนมนุษย์ หากแต่เป็นพฤติกรรมที่ปรากฏได้โดยทั่วไปของสุนัขป่า และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อออดอ้อนขนาดนั้น


แววตามันฟ้อง


บทความ Adaptations to sociality in the mimetic and auricular musculature of the African wild dog (Lycaon pictus) เขียนโดย “เฮเธอร์ สมิธ” นักกายวิภาคศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยมิดเวสเธิร์น และคณะ ได้เสนอว่า การให้เหตุผลที่ว่า สุนัขพัฒนาการสร้างสายตาอ้อนวอนขึ้นมาจากการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมมนุษย์ ในฐานะสัตว์เลี้ยงที่ต้องพยายามสื่อสารผ่านสายตาเพื่อให้เจ้าของเกิดอารมณ์เชิงบวก เพื่อให้ได้สิ่งตอบแทนที่มากขึ้น สิ่งดังกล่าวนี้ “เป็นเท็จ” ทั้งสิ้น


นั่นเพราะ หากเพิ่มมุมมองให้กว้างขึ้นโดยการพิจารณาสุนัขป่า โดยกลุ่มศึกษาที่สมิธยกมานั้นคือ “สุนัขป่าแอฟริกัน (African wild dog [Lycaon pictus])” พบว่า สุนัขป่าพวกนี้ มีการใช้สายตาอ้อนแบบเดียวกันกับสุนัขบ้านเลย


ตรงนี้ เป็นเรื่องที่แปลกมาก ๆ เพราะสุนัขป่าไม่เคยสัมผัสกับมนุษย์ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีโอกาสเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ 


"นั่นจึงเป็นการหักล้างความเชื่อที่ว่า สุนัขบ้านเป็นสุนัขกลุ่มเดียวที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ และพฤติกรรมเช่นนี้ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อพวกเราเสียด้วย" สมิธ กล่าว


สมิธยังเสนอเพิ่มเติมว่า การใช้สายตาอ้อนวอนนี้ เป็นไปเพื่อ “การสื่อสารภายในกลุ่ม” ของสุนัขป่าแอฟริกัน โดยเฉพาะ การสื่อสารเพื่อการล่าเหยื่อในพื้นที่โล่งของทุ่งหญ้าสะวันนา ที่ต้องใช้การวางกลยุทธ์ค่อนข้างสูงเพราะเป็นที่โล่งกว้าง การเห่าหรือส่งสัญญาณโดยใช้เสียง อาจทำให้เหยื่อไหวตนได้ง่าย


ดังนั้น การทำสายตาอ้อนวอน จึงเป็นหนึ่งในสัญญาณที่สุนัขป่าใช้ส่งหากัน เพื่อสื่อสารกลยุทธบางอย่าง และอาจมีการทำสัญญาณรูปแบบอื่น ๆ อีกด้วย


ลองมองในตาเขา


การค้นพบของสมิธและคณะ อนุมานได้ว่า พฤติกรรมสายตาอ้อนวอนของสุนัขบ้าน อาจไม่ได้เป็นเรื่องของการทำให้มนุษย์หลงใหล แต่เป็นสิ่งที่สุนัขนั้นกระทำมาเป็นสันชาติญาณตั้งแต่ก่อนที่มนุษย์จะนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง


แต่สิ่งที่น่าสงสัย นั่นคือ การศึกษานี้อาจมี “จุดบกพร่อง” อย่างน้อย 3 จุดด้วยกัน  


ประการแรก อดัม ฮาร์ทสโตน-โรส นักสัณฐานวิทยาเปรียบเทียบ ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ธแคโรไลนา ได้ตั้งข้อสังเกตบางอย่างที่อาจจะเป็นข้อบกพร่องในงานศึกษาของสมิธ นั่นคือ โดยปกติ กล้ามเนื้อใบหน้าของสุนัขป่าแอฟริกาจะแข็งแรงกว่าของสุนัขบ้าน เพราะต้องใช้กัด เฉาะ ฉีกเนื้อของเหยื่อออกมา ต่างกับสุนัขบ้านที่มีผู้หาอาหารมาให้เสมอ


ดังนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ทำให้เป็นไปได้ยากที่สุนัขป่าจะทำสายตาอ้อนวอนเช่นนั้นได้ เพราะการจะทำเช่นนั้น กล้ามเนื้อต้องยืดหยุ่นมากพอ 


อีกอย่าง สุนัขป่าไม่ได้ออกล่าในภูมิประเทศแบบทุ่งหญ้ากว้างเพียงอย่างเดียว ยังมีการออกล่าในพื้นที่รกชัฏ ป่าทึบ หรือภูเขาสูง ที่อาจจะมีการบดบังทัศนียภาพหรือการมองเห็นกันและกันของพวกนี้ คำถามคือ การใช้สายตาสื่อสาร จะทำได้อย่างไร 


ฮาร์ทสโตน-โรส จึงเสนอว่า จริง ๆ พวกสุนัขป่านี้ อาจจะสื่อสารทั้งสายตาและการเห่าหอน ตามแต่ภูมิประเทศในการล่าจะเหมาะสมให้ทำแบบใด


ประการที่สอง ในงานศึกษานี้ ยกกลุ่มตัวอย่างการวิเคราะห์มาจากฝูงสุนัขป่าแอฟริกาเพียงกลุ่มเดียว คำถามคือ สุนัขป่าในพื้นที่อื่น ๆ มีพฤติกรรมเช่นนี้หรือไม่ เรื่องนี้สมิธและคณะก็ออกมายอมรับว่า ต้องขยายขอบเขตการศึกษาเรื่องดังกล่าวออกไป เพื่อให้เกิดการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางข้อเสนอ (Strengthen Argument) ว่าสามารถใช้พิจารณาพฤติกรรมสายตาอ้อนวอนนี้ “อย่างทั่วถึง” จริง ๆ 


และประการสุดท้าย เป็นเรื่องของพฤติกรรมหรือการกระทำบางที่เหมือนหรือคล้ายกัน แต่จริง ๆ อาจจะ “บ่งชี้เจตนา” หรือ “ส่อนัย” ที่จะกระทำต่างกัน อาทิ ในโลกสมัยโบราณ “การยิ้ม” ไม่ได้ส่อนัยว่าผู้นั้น “ทักทายอย่างเป็นมิตร” แต่กลับส่อนัยว่า ผู้นั้น “จ้องจะเล่นคุณ” ด้วยอาวุธปืนหรือของมีคม 


การทำสายตาอ้อนวอนของสุนัขก็เช่นเดียวกัน การทำเช่นนี้ของสุนัขบ้าน อาจจะหมายความว่า พวกเขาเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์จริง ๆ และทำเพื่อส่อนัยการอ้อนวอนจริง ๆ ซึ่งแตกต่างจากสุนัขป่าที่ใช้เพื่อการส่งสัญญาณหรือสื่อสารเพื่อการล่า


เมื่อมาถึงตรงนี้ ย่อมเห็นได้ชัดว่า ข้อเสนอทางวิทยาศาสตร์กายภาพ เป็นเรื่องที่สามารถหาข้อโต้แย้งมาหักล้างกันได้เรื่อย ๆ อยู่ที่ว่า ฝ่ายใดจะ “ให้เหตุผลสนับสนุน (Justification)” ได้อย่างแนบเนียนกว่ากัน


Exclusive by วิศรุต หล่าสกุล


แหล่งอ้างอิง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง