รีเซต

รถยิ่งใหม่ ทัศนวิสัยยิ่งแย่ !? วิจัยชี้ Blind Spot (จุดอับสายตา) ในรถใหม่ มีเยอะยิ่งกว่ารถรุ่นเก่า !

รถยิ่งใหม่ ทัศนวิสัยยิ่งแย่ !? วิจัยชี้ Blind Spot (จุดอับสายตา) ในรถใหม่ มีเยอะยิ่งกว่ารถรุ่นเก่า !
TNN ช่อง16
8 ตุลาคม 2568 ( 18:08 )
5

สถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน (IIHS: Insurance Institute for Highway Safety) องค์กรวิจัยด้านความปลอดภัยที่ไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐอเมริกา รายงานผลการวิจัยล่าสุดของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่พบว่า จุดอับสายตาด้านหน้า (forward blind zones) ของรถยนต์รุ่นใหม่ที่เป็นโมเดลซึ่งทำวางขายมาอย่างยาวนาน เช่น Honda CR-V, Toyota Camry ฯลฯ มากกว่ารุ่นเดียวกันที่ขายในยุคก่อนปี 2000 สูงสุดถึง 58% 

จุดอับสายตา (Blind Spot) คืออะไร

จุดอับสายตาคือบริเวณที่ผู้ขับขี่รถยนต์ไม่สามารถมองเห็นอุปสรรคหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวรถได้ ซึ่งปกติแล้วพื้นที่ดังกล่าวจะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อจุดอับสายตา เช่น สภาพอากาศ ลักษณะเส้นทาง หรือช่วงเวลาการเดินทาง แต่ปัจจัยที่มีผลมากที่สุดคือการออกแบบของตัวรถ ตั้งแต่การวางแนวเสาตัวรถ รูปแบบกระจกบังลมหน้า ฯลฯ

โดยจุดอับสายตาที่เกิดจากการออกแบบของตัวรถที่พบได้บ่อย ๆ มีดังนี้ 

  1. เสาเอ หรือเสาที่ติดตั้งกระจกคู่หน้า ด้วยความหนาของเสาเอที่อยู่ด้านข้างสายตาเวลาขับรถ ทำให้เสาบดบังมุมมองด้านข้างตัวรถ โดยเฉพาะจังหวะเลี้ยวรถ หรือกลับรถ

  2. กระจกมองข้าง เกิดจากลักษณะของกระจกมองข้างที่มีพื้นที่จำกัด ทำให้เกิดมุมอับนอกเหนือจากองศาการมองเห็นเมื่อรถยนต์ช่องทางอื่นตีคู่ขนาน

  3. กระจกมองหลัง เกิดจากการปรับตำแหน่งต่ำหรือสูงเกินองศาการมองเห็นด้านหลัง หรือการออกแบบกระจกบังลมด้านหลังที่แคบเกินไป


นักวิจัยรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนคือพื้นที่จุดอับสายตา

วิธีการดั้งเดิม

ในอดีต นักวิจัยที่ต้องการเปรียบเทียบจุดบอดของรถยนต์รุ่นต่าง ๆ จะคำนวณพื้นที่การมองเห็น (Visibility) จากแบบแปลนโครงสร้างรถยนต์จากผู้ผลิต หรือจัดพื้นที่โล่งกว้างให้เป็นเครื่องหมายระบุตำแหน่ง หรือกรวยจราจรพิเศษเพื่อเปรียบเทียบมุมมองกับตำแหน่งรถแต่ละคัน ซึ่งวิธีการเหล่านี้ล้วนยุ่งยากและขาดความแม่นยำ 

หรือถ้าต้องการความแม่นยำในการวัดพื้นที่อับสายตา นักวิจัยด้านความปลอดภัยอาจใช้เลเซอร์ระบุตำแหน่ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถเก็บจุดบอดที่เกิดจากกระจกมองข้างและฐานของ เสา A (A-pillar) ที่ขยายใหญ่ขึ้นตามการใช้งานจริงได้

วิธีการแบบใหม่

แต่ล่าสุด IIHS ได้ออกแบบวิธีค้นหาและคำนวณพื้นที่อับสายตาแบบใหม่ โดยใช้ซอฟต์แวร์การคำนวณและชุดติดตั้งกล้องแบบพกพาติดตั้งที่เบาะคนขับในระดับความสูงต่าง ๆ เพื่อจำลองผู้ขับขี่ที่มีสรีระแตกต่างกัน กล้องจะทำงานและหมุนเพื่อถ่ายภาพ 360 องศา รอบตัวรถ 

จากนั้นซอฟต์แวร์จะแปลงภาพนั้นเป็นแผนที่จุดบอด ซึ่งแสดงมุมมองของตัวรถและจุดที่อยู่ใกล้คนขับที่สุดบนพื้นดินที่ยังสามารถมองเห็นได้ นอกจากนี้ยังให้ค่าตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่รอบตัวรถที่มองเห็นได้ด้วยเช่นกัน


ข้อมูลพื้นที่จุดอับสายตาใหม่ล่าสุด

ด้วยเหตุนี้ ศูนย์ระบบขนส่งแห่งชาติจอห์น เอ. โวลป์ หรือโวลป์ เซ็นเตอร์ (Volpe Center) ของกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ จึงนำวิธีการค้นหาพื้นที่อับสายตาแบบใหม่ของ IIHS ไปใช้เพื่อปรับปรุงฐานข้อมูลด้านความปลอดภัย 

ทั้งนี้ การศึกษาของ Volpe Center มุ่งเน้นไปที่ทัศนวิสัยด้านหน้าในรัศมี 10 เมตร รอบตัวรถ เนื่องจากเป็นระยะหยุดรถเฉลี่ยของผู้ขับขี่ที่ความเร็วต่ำ 16 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่จุดบอดเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดอุบัติเหตุ หลังจากที่สถิติการเสียชีวิตของคนเดินถนนและนักปั่นจักรยานในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา เพิ่มสูงขึ้น 37% และ 42% ตามลำดับ

ตัวอย่างภาพ 360 องศาที่ระบุจุดอับสายตา, IIHS

ภาพรวมพื้นที่จุดอับสายตาในรถรุ่นใหม่

นักวิจัยของ Volpe Center ใช้เทคนิคใหม่ของ IIHS ตรวจสอบการออกแบบของรถยนต์ 6 รุ่น ที่มีขายก่อนปี 2000 กับรถยนต์รุ่นเดียวกันที่เป็นยุคใหม่ ได้แก่ 

  • Chevrolet Suburban (ไม่มีขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย)

  • Ford F-150 (ไม่มีขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย)

  • Honda Accord

  • Honda CR-V

  • Jeep Grand Cherokee

  • Toyota Camry 

โดยผลการวิจัยพบว่า การออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ตั้งแต่ปี 1997 ถึง 2023 ทำให้ทัศนวิสัยด้านหน้าในรัศมี 10 เมตร ลดลง 58% สำหรับรถ SUV 3 รุ่น และลดลง 17% ในกลุ่มรถกระบะ ส่วนรถเก๋ง 2 รุ่น ที่ทำการสำรวจพบว่ามีทัศนวิสัยลดลง 8% 

รายละเอียดจุดอับสายตาที่เพิ่มขึ้นในรถรุ่นใหม่แต่ละรุ่น

Honda CR-V 

ฝากระโปรงรถ กระจกมองข้าง และเสา A ของ Honda CR-V ในยุคใหม่บดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่มากขึ้น โดยผู้ขับขี่ Honda CR-V รุ่นปี 1997 สามารถมองเห็นพื้นที่ด้านหน้า 10 เมตรได้ 68% ขณะที่ผู้ขับขี่ Honda CR-V รุ่นปี 2022 มองเห็นได้เพียง 28%

Honda Accord 

ผู้ขับขี่ Honda Accord รุ่นปี 2003 มองเห็นพื้นที่ด้านหน้าระยะ10 เมตร ได้ 65%ในขณะที่ผู้ขับขี่ Honda Accord รุ่นปี 2023 ได้ 60%

Toyota Camry

สำหรับ Toyota Camry ทัศนวิสัยลดลงจาก 61% ในปี 2007 เป็น 57% ในปี 2023 ซึ่งเป็นความแตกต่างที่น้อยที่สุดในการทดสอบและวิจัย ซึ่งอาจเกิดจากความคลาดเคลื่อนในการวัดและทดลอง

Suburban, F-150 และ Cherokee 

ในรายงานระบุว่า ผู้ขับขี่ Suburban รุ่นปี 2000 (รุ่นที่เก่าที่สุดที่ศึกษา) สามารถมองเห็นพื้นที่ด้านหน้า 10 เมตร ได้ 56% ในขณะที่รุ่นปี 2023 มองเห็นได้เพียง 28% โดยการเปลี่ยนแปลงจุดบอดที่ใหญ่ที่สุดเกิดจากฝากระโปรงที่สูงขึ้น ซึ่งบังพื้นที่ด้านหน้ามากขึ้น และกระจกมองข้างที่ใหญ่ขึ้น

ทัศนวิสัยด้านหน้าของ Ford F-150 ก็ลดลงเช่น โดยผู้ขับขี่รุ่นปี 1997 สามารถมองเห็นพื้นที่ด้านหน้าในรัศมี 10 เมตรได้เพียง 43% ซึ่งลดลงเหลือเพียง 36% สำหรับผู้ขับขี่รุ่นปี 2015 อย่างไรก็ตาม ในรายงานไม่ได้ระบุความเปลี่ยนแปลงของ Jeep Grand Cherokee

ตารางสรุปผลการวิจัย

รุ่น (Model)

รุ่นเก่าที่สุด

(Earliest Model Year)

ทัศนวิสัย 

(Visibility)

รุ่นใหม่ที่สุด 

(Latest Model Year)

ทัศนวิสัย (Visibility) 

การเปลี่ยนแปลง

Honda CR-V

1997

68%

2022

28%

-40%

Chevrolet Suburban

2000

56%

2023

28%

-28%

Ford F-150

1997

43%

2015

36%

-7%

Honda Accord

2003

65%

2023

60%

-5%

Toyota Camry

2007

61%

2023

57%

-4%

Jeep Grand Cherokee

ไม่ได้ระบุ


บทสรุป

เบ็คกี้ มุลเลอร์ วิศวกรวิจัยอาวุโสของ IIHS มองว่า สัดส่วนของผู้ใช้รถยนต์ SUV ในสหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้นอย่างมากในหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น ผลการวิจัยนี้จะชี้ให้เห็นว่าทัศนวิสัยที่ลดลงในรถ SUV เกิดขึ้นจากปัจจัยการออกแบบ และยังอาจส่งผลกระทบต่ออุบัติเหตุในประเทศด้วยเช่นกัน

ด้านสตาทิสตา (Statista) สำนักรวบรวมข้อมูลสถิติชื่อดัง ระบุว่า มูลค่าตลาดรถยนต์ในกลุ่ม SUV ของสหรัฐอเมริกาในปี 2025 จะอยู่ที่ 321,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 10.4 ล้านล้านบาท และคาดว่ายอดขายรถในกลุ่ม SUV จะอยู่ที่ 7 ล้านคัน ภายในปี 2030 นี้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง