NDR ต้นทุนลด หนุนมาร์จิ้นพุ่ง รุกทำแผนปี64
ทันหุ้น - สู้โควิด – NDR ต้นทุนลดหนุนมาร์จิ้น เชื่อทิศทางอยู่ในระดับต่ำ ฟากผู้บริหาร “ชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา” เตรียมทำแผนงานปี 64 พร้อมเกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ใกล้ชิด เผยปัจจุบันใช้กำลังการผลิต 75% เพียงพอต่อออเดอร์ คาดผลงานปีนี้ผ่านฉลุย
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างจัดทำแผนธุรกิจปี 2564 โดยบริษัทจะติดตามสถานการณ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการทำแผนงาน เบื้องต้นบริษัทไม่สามารถประเมินได้ว่าจะคำสั่งซื้อ หรือออเดอร์จะกลับมาได้ครบ 100% หรือไม่ ทั้งนี้บริษัทยังไม่มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิต หรือลงทุนอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากยังไม่แน่ใจในการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ
กำลังผลิต 75%
ปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 75% ซึ่งยังเพียงพอต่อการผลิต และส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า สำหรับแนวโน้มออเดอร์จากนี้ไปจนถึงสิ้นปี บริษัทประเมินว่ายังอยู่ในระดับทรงตัว ขณะที่ทิศทางผลประกอบการใน 3 เดือนสุดท้าย หรือไตรมาส 4/2563 คาดจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เพราะทิศทางออเดอร์จากในประเทศ และต่างประเทศ ยังคงอยู่ในระดับใกล้เดิม และไม่มีอะไรหวือหวา หรือทำให้ทิศทางออเดอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบต่อจากนี้ อาจขยับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากความต้องการวัตถุดิบสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงล็อกดาวน์หรือในไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา ซึ่งต้นทุนวัตถุดิบลดลงไปมาก และส่งผลดีต่อการประกอบธุรกิจ แต่คาดว่าทิศทางต้นทุนยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้หากทิศทางต้นทุนอยู่ในระดับต่ำ คาดจะช่วยผลักดันให้มาร์จิ้นของบริษัทอยู่ในด้านบวกต่อเนื่อง
ชะลอแผนลงทุน
ขณะเดียวกันบริษัทประเมินภาพรวมยอดขายปีนี้ อาจะลดลงต่ำกว่าปีก่อน 10-15% เพราะในครึ่งปีแรก บริษัทได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ยอดขายปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน บริษัทคาดสัดส่วนยอดขายจะมาจากต่างประเทศ 50-55% หรือไม่เกิน 60% ส่วนที่เหลือจะมาจากสัดส่วนยอดขายในประเทศ
อนึ่ง 6 เดือนแรกบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 328.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.56 ล้านบาท ส่วนปี 2562 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 861.87 ล้านบาท และขาดทุน 19.54 ล้านบาท
นายชัยสิทธิ์ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ด้านงบลงทุนที่บริษัทตั้งไว้ 50 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับติดตั้งเครื่องจักรระบบออโตเมชั่นในโรงงาน บริษัทใช้เงินไปเพียงเล็กน้อย เนื่องจากติดสถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้บริษัทชะลอแผนการลงทุนไว้ก่อนขณะเดียวกันบริษัทไม่ปิดกั้นโอกาสสำหรับการมองหา หรือลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อขยายฐานธุรกิจ แต่หากบริษัทมีจังหวะ หรือโอกาสในการลงทุนที่ชัดเจน บริษัทจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งในลำดับต่อไป
ผลงานพลิกกำไร
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2563 พลิกมีกำไรสุทธิ 8.85 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2563 ขาดทุนสุทธิ 2.41 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้ 157.53 ล้านบาท เทียบจากไตรมาส 1/2563 มีรายได้ 167.85 ล้านบาท สาเหตุที่ผลประกอบการในไตรมาส 2/2563 พลิกเป็นกำไร เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2563 ที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดการชะลอตัวของการผลิตยางล้อทั่วโลก จึงส่งผลให้ราคาวัตถุดิบตกลงอย่างมาก ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทต่ำลง
และมีกำไรขั้นต้นสูงขึ้น โดยในไตรมาส 2/2563 มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 23.92% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2563 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 18% และสูงกว่าในไตรมาส 2/2562 ที่ 15.40% อนึ่งครึ่งปีแรกของปี 2563 บริษัทมียอดขายที่ 328.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.56 ล้านบาท