นักวิจัยชี้ วัคซีนต้านโควิด ส่งผ่านนมแม่สู่ลูกได้
วันนี้ (12 เม.ย.64) สหรัฐฯ ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้วอย่างน้อย 183 ล้านโดส ในจำนวนนี้มีคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรรวมอยู่ด้วย ทำให้ขณะนี้มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดในเพจเลี้ยงลูกและเพจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสหรัฐฯ ว่าคุณแม่ที่มือใหม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโควิดดีหรือไม่ และหากฉีดวัคซีน ควรจะงดให้นมลูก หรือสามารถให้นมลูกต่อได้ เสียงแตกออกเป็นสองฝ่าย
น้ำนมของแม่ที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ปลอดภัยหรือไม่?
ล่าสุดนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า มีนักวิจัยหลายคนออกมายืนยันว่า คุณแม่มือใหม่ไม่ต้องงดการรับวัคซีนป้องกันโควิด และคุณแม่ที่เพิ่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ก็สามารถให้นมลูกต่อได้ เพราะน้ำนมจากคุณแม่ที่ฉีดวัคซีนต้านโควิดแล้วปลอดภัยสำหรับลูกน้อย
นักวิจัยกล่าวว่าพวกเขารู้ดีพอว่าวัคซีนโดยทั่วไปมีผลต่อน้ำนมแม่อย่างไรที่ไม่ต้องกังวล
“คริสนิน่า แชมเบอร์ส” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ระบุว่า นอกจากเธอแล้วนักวิจัยเกี่ยวกับนมแม่และวัคซีต้านโควิด เห็นตรงกันว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดว่าวัคซีนเป็นอันตราย และเชื่อว่ามีประโยชน์
เหตุผลที่มีเพจการเลี้ยงดูลูก ที่ระว่ามี กุมารแพทย์แนะนำให้คุณแม่อย่าเพิ่งฉีดวัคซีนต้านจนกว่าลูกจะอายุมากขึ้น หรือให้ทิ้งนมหลังการฉีดวัคซีน น่าจะเป็นเพราะคุณแม่ที่ให้นมบุตรไม่ได้อยู่ในกลุ่มอาสาสมัครที่ร่วมทดลองวัคซีน ก็เลยไม่สามารถวิจัยความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรมได้
ความเชื่อมั่นของนักวิจัยว่า น้ำนมแม่จากแม่ที่ได้รับวัคซีนโควิด -19 ปลอดภัยนั้นมาจากสิ่งที่ทราบกันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับวิธีการทำงานของวัคซีนต่างๆ นั่นเอง ไม่เพียงแค่วัคซีนต้านโควิด-19 เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการตั้งครรภ์ที่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัยในทางทฤษฎี
ดร. Kathryn Grey ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ทารกในครรภ์มารดาที่ Brigham and Women’s Hospital ในบอสตัน ระบุว่า ทั้งวัคซีน Moderna และ Pfizer-BioNTech เป็นวัคซีน mRNA “ส่วนผสมในวัคซีนเป็นโมเลกุล mRNA ที่มีอายุการใช้งานสั้นและไม่มีทางเข้าไปในน้ำนมได้”
น้ำนมแม่ที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 มีแอนติบอดีหรือไม่
นอกจากจะไม่เป็นอันตรายแล้ว ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำนมแม่ ที่ได้จากคุณแม่ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว พบแอนติบอดี IgG จำนวนมากในทุกตัวอย่างที่เก็บมา
แอนติบอดี IgG หรือ "อิมมูโนโกลบูลินจี" (IgG) เป็นแอนติบอดีที่พบมากที่สุดในซีรั่มของเลือด ทำหน้าที่กำจัดแบคทีเรีย ไวรัส และสารพิษในเลือดและน้ำเหลืองให้กับร่างกายมนุษย์
“รีเบคกา โพเวล” (Rebecca Powell) นักภูมิคุ้มกันวิทยาของมนุษย์ที่ Icahn School of Medicine at Mount Sinai ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ชั้นนำในนิวยอร์ก ได้วิเคราะห์ตัวอย่างน้ำนมของผู้หญิง 6 คนที่ได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech และอีก 4 คนที่ได้รับวัคซีน Moderna หลังจากพวกเธอได้รับวัคซีนโดสที่สองแล้ว 14 วัน ปรากฏว่าพบแอนติบอดี IgG จำนวนมาก ขณะที่นักวิจัยคนอื่น ๆ ได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน
ดร. แคทธรีน เกรย์ (Kathryn Gray) ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ทารกในครรภ์มารดาที่ Brigham and Women’s Hospital ในบอสตัน ซึ่งได้ทำการศึกษาในลักษณะเดียวกันนี้ “ เราคิดว่ามันสามารถให้ความคุ้มครองได้ในระดับหนึ่ง”
เนื่องจากไม่มีการทดลองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในสตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ดังนั้นนักวิจัยจึงต้องหารอจนกว่าคุณแม่ที่ให้นมบุตรได้รับวัคซีนแล้ว จึงสามารถทำการศึกษาวิจัยตัวอย่างน้ำนมของพวกเธอได้
แล้วภูมิคุ้มกันจากนมแม่อยู่ได้นานแค่ไหน
สิ่งที่นักวิจัยเห็นพ้องต้องกันคือ ทารกที่กินนมแม่ตลอดทั้งวัน มีแนวโน้มที่จะได้รับการป้องกันมากกว่า คนที่ได้กินนมแม่เป็นครั้งคราว
ดร.โพเวลยอมรับด้วยว่าประโยชน์ในการป้องกันของนมแม่นั้น ทำงานได้เหมือนกับยาเม็ดที่ต้องรับประทานทุกวัน การป้องกันระยะสั้นนี้เรียกว่า “passive protection” หรือ “การป้องกันเชิงรับ” อาจจะป้องกันได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือเป็นเวลาหลายวันนับตั้งแต่ทารกได้ดื่มนมแม่ครั้งล่าสุด ซึ่งจะต่างจากการที่ทารกได้รับวัคซีนป้องกันโควิดเองโดยตรง
“แอนท์ทิ เซปโป” (Antti Seppo) นักวิจัยนมแม่อีกคนหนึ่งของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ระบุว่าต้องใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์หลังจากการฉีดครั้งแรกเ พื่อให้แอนติบอดีปรากฏในนมแม่ และแอนติบอดีจะเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ที่สอง
อย่างไรก็ตาม ก็มีนักวิจัยบางคนมีความเห็นแตกต่างออกไป ดร. เคอร์ซี จาร์วิเนน-เซปโป หัวหน้าแผนกโรคภูมิแพ้ในเด็กและภูมิคุ้มกันวิทยาที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ระบุว่า “ ไม่มีหลักฐานโดยตรงว่า แอนติบอดีโควิดในน้ำนมแม่กำลังปกป้องทารก มีเพียงหลักฐานชิ้นเดียวที่บ่งชี้ว่าอาจเป็นเช่นนั้นได้
นักวิจัยไม่สามารถนำทารกมาทดสอบกับเชื้อโควิดได้ เพราะเป็นเรื่องผิดจริยธรรม ที่ทำได้ก็คือการศึกษาวิจัยจากถึงคุณประโยชน์จากตัวอย่างน้ำนมที่เก็บมาจากคุณแม่ที่ฉีดวัคซีนต้านโควิดแล้วนั่นเอง
ก่อนหน้านี้มีการตั้งคำถามถึงไวรัสโควิดว่า แพร่จากนมแม่สู่ลูกได้หรือไม่
ในช่วงเก้าเดือนแรกของการระบาดนี้มีทารกเกิดทั่วโลก 116 ล้านคน ตามการคาดการณ์ของ Unicef นักวิจัยหลายกลุ่มทำการทดสอบนมแม่ พวกเขาไม่พบร่องรอยของไวรัส พบเพียงแอนติบอดีเท่านั้น ที่บอกว่าการดื่มนมนั้นสามารถป้องกันทารกจากการติดเชื้อ
เมื่อปีที่แล้ว ทีมวิจัยจากปักกิ่งได้นำน้ำนมแม่ที่รวบรวมในปี 2017 ก่อนจะมีการแพร่ระบาดของโควิด มาทดสอบกับเซลล์ที่ติดเชื้อโควิด-19 และชนิดของเซลล์ที่นำมาทดสอบนั้นแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่เซลล์ไตของสัตว์ ไปจนถึงเซลล์ปอดและเซลล์ในลำไส้ของมนุษย์ โดยผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน นั่นคือ ไวรัสโควิด-19 ส่วนใหญ่ถูกฆ่าโดยน้ำนมแม่
ทีมวิจัยได้ทำการผสมเซลล์ที่มีสุขภาพดีบางส่วนในน้ำนมแม่ จากนั้นล้างนมออกและนำไปสัมผัสกับเซลล์ที่มีไวรัสโควิด-19 พบว่าแทบจะไม่มีไวรัสเข้ามาเกาะหรือพยายามเข้าสู่เซลล์ที่มีสุขภาพดีเหล่านี้ และยังสามารถหยุดการจำลองแบบของไวรัสในเซลล์ที่ติดเชื้อแล้ว
ศ.ถงอีกัง (Tong Yigang) หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเคมีปักกิ่ง ระบุไว้ในงานวิจัยว่า “นมแม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันไวรัสเข้าสู่ร่างกาย และป้องกันแม้แต่การขยายตัวของไวรัสหากมันเข้าสู่ร่างกายได้”
การศึกษาชิ้นนี้สนับสนุนจุดยืนอย่างเป็นทางการขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ว่า คุณแม่ควรให้นมลูกต่อไป แม้ว่าจะติดโควิด-19 ก็ตาม
องค์การอนามัยโลกติดตามมารดาที่ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 46 คนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในหลายประเทศจนถึงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว โดยตรวจพบยีนของไวรัสในน้ำนมของแม่ 3 ราย แต่ไม่มีหลักฐานการติดเชื้อ และมีเด็กเพียงคนเดียวที่ทดสอบโควิด-19 ออกมาเป็นบวก ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าติดเชื้อจากน้ำนมมารดา
ขณะที่ล่าสุด ยาริฟ ไวน์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาประยุกต์จากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ ของอิสราเอล ระบุว่า นมแม่มีความสามารถในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสและปิดกั้นความสามารถของไวรัสในการติดเซลล์ของโฮสต์ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วย”
เมื่อคำนวณถึงผลได้ผลเสียแล้ว คุณแม่ในสหรัฐฯ หลายคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนต้านโควิด จึงไปขอปันน้ำนมจากเพื่อนที่ฉีดวัคซีนแล้วมาให้ลูกดื่ม
คุณแม่บางคนอยากแบ่งนมแม่ให้กับลูกๆ ที่โตขึ้นมาหน่อย เช่น ใส่ในซีเรียลให้กิน นักวิจัยก็บอกว่า สามารถทำได้เช่นกัน เพราะอย่างน้อยๆ ก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นได้ ระหว่างที่กำลังรอให้การทดสอบวัคซีนสำหรับเด็ก
ความคืบหน้าของการทดสอบวัคซีนในเด็ก
เมื่อเดือนที่ผ่านมา โมเดอร์นา เริ่มทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โดยรับอาสาสมัครกว่า 6,700 คนในสหรัฐฯ และแคนาดา
ส่วนแอสตราเซเนกา ระงับการทดสอบวัคซีนในกลุ่มคนอายุ 6-17 ปีเป็นการชั่วคราว หลังจากพบความเชื่อมโยงวัคซีนกับภาวะลิ่มเลือดในสมอง
ขณะที่มีรายงานว่า จีนอนุมัติการทดสอบทางคลินิกสำหรับวัคซีนป้องกันโควิดแบบสูดดม เพือให้เด็กและผู้อ่อนแอเข้าถึีงวัคซีนได้เช่นกัน