ไทยก้าวหน้าเพิ่มสิทธิ “แม่ลาคลอด” เทียบเท่าโปรตุเกส-บราซิล ยกระดับศักยภาพทุนมนุษย์

ไทยก้าวหน้าเพิ่มสิทธิ “แม่ลาคลอด” เทียบเท่าโปรตุเกส-บราซิล มูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ ชู “นมแม่ 6 เดือน” ยกระดับศักยภาพทุนมนุษย์
มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย “นมแม่ล้วน 6 เดือน ไม่เสริมน้ำ” หลังวุฒิสภาเห็นชอบ พรบ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ เพิ่มวันลาคลอดจาก 98 วันเป็น 120 วัน ชี้เป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน โดยเฉพาะในกลุ่มแม่และเด็กเทียบเท่ากับประเทศชั้นนำอย่างโปรตุเกสและบราซิล เตรียมเร่งผลักดันให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ร้อยละ 50
แพทย์หญิงศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า มูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ และภาคีเครือข่ายได้มีการขับเคลื่อนนโยบายปกป้อง ส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ด้วยการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 ควบคู่ไปกับการพัฒนามาตรฐานโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก (BFHI) สนับสนุนมุมนมแม่ในสถานประกอบการ โดยล่าสุดนับเป็นหมุดหมายที่ดีเมื่อ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ เพิ่มวันลาคลอดจาก 98 วันเป็น 120 วัน ภายหลังจากนั้นยังได้มีการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2 ฉบับ ซึ่งมีเรื่องของการกำหนดให้สถานประกอบการต้องมีสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ลูกจ้างสามารถให้นมหรือบีบเก็บน้ำนมในที่ทำงานได้ไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ตลอดระยะเวลา 1 ปีหลังคลอด สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วน 6 เดือนไม่เสริมน้ำให้เป็นนโยบายแห่งชาติประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
“การเพิ่มวันลาคลอดเป็น 120 วันช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานโดยเฉพาะแม่และเด็ก ทำให้แม่ได้มีเวลาอยู่กับลูกนานขึ้น ลูกได้กินนมแม่นานขึ้นถึง 4 เดือน และเมื่อแม่ต้องกลับไปทำงานก็จะเหลือเวลาเพียงแค่ 2 เดือนที่จะบีบเก็บน้ำนมกลับมาให้ลูก ทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือนเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่สิ่งสำคัญนับจากนี้ก็คือการขับเคลื่อนเรื่องโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก (BFHI) ให้มีความเข้มแข็ง ลูกต้องได้เข้าเต้าแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรงหลังคลอด ต้องทำให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลเพื่อให้แม่มีความมั่นใจในการดูแลลูก และเมื่อกลับบ้านก็จะต้องมีระบบสนับสนุนให้สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ เช่น คลินิกนมแม่ จะทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถูกเริ่มต้นอย่างเข้มแข็งและประสบความสำเร็จ”
สำหรับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ทำให้สิทธิในการลาคลอดของประเทศไทย มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาประเทศทั่วโลก โดยประเทศโปรตุเกส และบราซิล ให้สิทธิแม่ในการลาคลอดถึง 120 โดยยังได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน หรือลาได้ถึง 150 วันและรับค่าจ้างลดลงเหลือร้อยละ 80 ส่วนประเทศที่ให้สิทธิ์การลาคลอดนานที่สุดในโลกคือประเทศบัลแกเรีย 58.6 สัปดาห์ (ประมาณ 1 ปี 1 เดือน) รองลงมาคือประเทศนอร์เวย์ 49 สัปดาห์ (ประมาณ 11 เดือน)
นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนกิจกรรมพัฒนาสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคมนมแม่ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ระบุว่าการเพิ่มวันลาคลอดจาก 98 วันเป็น 120 วัน จะช่วยให้แม่มีเวลาพักฟื้นและดูแลบุตรแรกเกิดได้อย่างเต็มที่ ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจทั้งแม่และเด็ก ก่อให้เกิดความรักความผูกพันสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก แม่จะได้มีเวลาให้นมลูกและดูแลลูกได้เต็มที่ ลดความกังวลในการหาผู้ดูแลลูกเมื่อต้องกลับไปทำงาน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังช่วยลดความเสี่ยงและช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกในตัวของแม่ได้ ตัวลูกเองก็จะได้รับสารอาหารและภูมิคุ้มกันจากนมแม่อย่างเต็มที่ สุขภาพก็จะแข็งแรง ป้องกันการเกิดโรค NDCs ในวัยผู้ใหญ่ได้อีกด้วย
“กฎหมายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ล้วนมีส่วนช่วยสนับสนุนให้การขับเคลื่อนสังคมนมแม่ล้วน 6 เดือน ประสบความสำเร็จมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีความจำเป็นที่ต้องสื่อสารกับภาคประชาสังคมอย่างต่อเนื่องให้เห็นว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่ตัวแม่กับลูกเท่านั้น แต่เป็นการช่วยเหลือสังคมอีกทางหนึ่ง เพราะเด็กจะป่วยน้อย โรงพยาบาลก็ไม่ต้องรับภาระ ครอบครัวไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กป่วย อีกส่วนหนึ่งที่คือภาครัฐที่จะต้องเข้ามาช่วยสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องนี้ รวมไปถึงออกกฎหมายต่างๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนเรื่องของนมแม่ทำได้ง่ายขึ้น เช่นการเพิ่มวันลาให้มากขึ้นไปจนถึง 6 เดือน ซึ่งเป็นลงทุนในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพด้วยนมแม่ที่คุ้มค่ามากที่สุดที่นานาประเทศให้การยอมรับ”
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านจำนวนประชากรที่ลดลง และการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรสูงวัย ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม การขับเคลื่อน “นมแม่” ให้เป็นนโยบายแห่งชาติ จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่ฐานราก เพราะนมแม่คืออาหารที่ดีที่สุด และเป็นปัจจัยพื้นฐานที่เด็กไทยทุกคนควรได้รับ เพราะมีสารอาหารครบถ้วน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค และส่งเสริมพัฒนาการทางสมองและสติปัญญา
การสนับสนุนให้เด็กไทยได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และต่อเนื่องถึง 2 ปีพร้อมอาหารตามวัย จึงเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนน้อยที่สุดแต่ให้ประโยชน์สูงสุด ในการสร้างเด็กไทยให้มีสุขภาวะ สร้างทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยให้มีคุณภาพ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
