เวียดนามใช้ “นมแม่” หนุนเป้าหมายลดโลกร้อน

30 กรกฎาคม 2568 ( 09:30 )
11
นมแม่เป็นแหล่งสารอาหารที่ครบถ้วนและเป็นธรรมชาติมากที่สุดสำหรับทารกและเด็กเล็ก ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากลว่าไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพของมารดาด้วย
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้นในเวียดนาม เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสร้างความเสี่ยงด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ มารดา และเด็กเล็ก
นายเหงียน อันห์ เวิ้ด ผู้จัดการโครงการด้านสุขภาพและโภชนาการ องค์การเวิลด์วิชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศเวียดนาม กล่าวว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่เพียงแต่ให้โภชนาการและภูมิคุ้มกันที่เหมาะสมแก่เด็กเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการเผชิญหน้ากับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้ว่าเวียดนามจะมีพัฒนาการด้านสุขภาพเด็กอย่างน่าชื่นชมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ประเทศยังคงเผชิญความท้าทายในการลดภาวะเด็กแคระแกร็น และเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว จากการสำรวจภาวะโภชนาการแห่งชาติ ปี 2023 พบว่า อัตราเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีภาวะแคระแกร็นอยู่ที่ 18.2% โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีภูเขาและที่ราบสูงตอนเหนืออยู่ในระดับสูงกว่า เฉลี่ยถึง 24.8% และ 25.9% ตามลำดับ
เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และต่อเนื่องจนถึงอายุ 2 ปี หรือมากกว่าควบคู่กับอาหารเสริมที่เหมาะสมตามวัย หากคุณแม่ทุกคนในเวียดนามสามารถให้นมลูกอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกได้ จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ถึง 300,000 ต้นต่อเดือน
นมแม่ไม่เพียงเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังอุดมด้วยภูมิคุ้มกัน เอนไซม์ย่อยอาหาร และกรดไขมันสายยาว เช่น DHA และ ARA ซึ่งช่วยพัฒนาสมอง การมองเห็น และระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก เด็กที่ได้รับนมแม่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อน้อยลง เช่น โรคท้องเสีย ปอดบวม ภาวะทุพโภชนาการ โรคอ้วน และอาการแพ้ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างสายใยรักระหว่างแม่ลูก และส่งเสริมพัฒนาการด้านจิตใจและสังคม
สำหรับตัวแม่เอง การให้นมบุตรยังส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคกระดูกพรุน อีกทั้งยังช่วยลดน้ำหนักหลังคลอด โดยการให้นมใช้พลังงานราว 500–700 กิโลแคลอรีต่อวัน
องค์กรเวิลด์วิชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศเวียดนาม ได้เล็งเห็นความสำคัญของการให้นมบุตรในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิตเด็ก จึงริเริ่ม “โมเดลชมรมโภชนาการ” มาตั้งแต่ปี 2008 ในจังหวัดที่ยังขาดแคลนบริการโมเดลนี้ออกแบบตามบริบทท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมบทบาทของผู้ดูแล โดยเฉพาะผู้หญิง ให้มีความรู้ความเข้าใจด้านโภชนาการและการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ผ่านกิจกรรมกลุ่ม การให้คำปรึกษารายบุคคล เยี่ยมบ้าน และติดตามการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง
ข้อได้เปรียบของนมแม่คือไม่ต้องผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม บรรจุภัณฑ์ การขนส่ง หรือการจัดการของเสีย ซึ่งต่างจากนมผงสำหรับทารก จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ ชมรมยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัว โดยเน้นบทบาทของพ่อและญาติในการสนับสนุนการให้นมบุตร พร้อมทั้งยืนหยัดสิทธิของแม่ในการให้นมในสภาพแวดล้อมที่เคารพ เป็นธรรม และปลอดภัย
ปัจจุบัน มีการจัดตั้งชมรมแล้วกว่า 1,500 แห่ง ส่งเสริมให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวและอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่ดำเนินการมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงผลลัพธ์ด้านสุขภาพ ได้แก่ การลดลงของการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน 31.8% และการลดลงของโรคท้องเสีย 9% ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ระหว่างปี 2018–2024 เฉพาะในปี 2024 เด็กที่มีภาวะน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ถึง 4,325 คน ได้รับการฟื้นฟูจากภาวะทุพโภชนาการจากโครงการนี้
ผลลัพธ์ของโครงการชมรมโภชนาการและการดูแลผู้เลี้ยงดูสอดคล้องกับเป้าหมายระดับชาติของกระทรวงสาธารณสุขและสถาบันโภชนาการแห่งชาติเวียดนาม ซึ่งมุ่งลดภาวะทุพโภชนาการในเด็กภายใต้แผนยุทธศาสตร์ 2021–2030 และวิสัยทัศน์ปี 2045
สาระหลักที่ชมรมเน้นย้ำ ได้แก่ “นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาอย่างรอบด้านของเด็ก” และ “การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวใน 6 เดือนแรก และต่อเนื่องจนถึง 2 ปีหรือมากกว่า คือวิธีที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าที่สุดในการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก”
การให้นมแม่จึงเป็นทั้งการแสดงความรักอันลึกซึ้งของมารดา และการเลือกทางสังคมที่มีความรับผิดชอบ โดยสนับสนุนทั้งสุขภาพ ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และความเสมอภาคทางเพศ เพื่ออนาคตที่แข็งแรงและยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
