BCP-KSL ดัน"บีบีจีไอ" เข้าตลาดหุ้น ขาย IPO ไม่เกิน 216.60 ล้านหุ้น
ทันหุ้น-บริษัท บีบีจีไอ จำกัด(มหาชน) ซึ่งมีบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ BCP และบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด(มหาชน) หรือ KSL เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยจะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 216.60 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยมีบล.กรุงไทย ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
บริษัท บีบีจีไอ ได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ดังกล่าว โดยหุ้นส่วนหนึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นของ BCP และ KSL เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรร และหุ้นอีกส่วนจะจัดสรรให้แก่ ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย ตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์
ทั้งนี้บริษัท บีบีจีไอ ประกอบธุรกิจโดยการเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่น(โฮลดิ้ง คอมปานี) ที่ประกอบธุรกิจ 1. ธุรกิจหลักคือธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพประเภทผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ได้แก่ เอทานอล ไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ และธุรกิจอื่นคือธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทมีแผนจะใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ และการลงทุนโครงการในอนาคตของบริษัท รวมถึงกระบวนการพัฒนา ปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท, เพื่อใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน และชำระคืนหุ้นกู้ของบริษัท และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท
โครงสร้างการถือหุ้นของบีบีจีไอ จะมี BCP ถือหุ้น 60% ภายหลังขายหุ้น IPO สัดส่วนจะลดเหลือ 42% และมี KSL ถือหุ้น 40% ภายหลังจะลดเหลือ 28%
สำหรับโครงการในอนาคต ในส่วนของธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ บริษัทมีโครงการขยายกำลังการผลิตเอทานอลของโรงงานน้ำพอง 2 ของบริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ KGI ซึ่งเป็นบริษัทย่อย อีกจำนวน 2 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเอทานอลรวมของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 1.2 ล้านลิตรต่อวัน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 1.2 พันล้านบาทและคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/65
นอกจากนี้ก็มีโครงการติดตั้งบ่อก๊าซชีวภาพของบริษัท บีบีจีไอ ยูทิลิตี้ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด หรือ BUP ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่จังหวัดกาญจนบุรี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 150 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 4/64
โครงการติดตั้งหม้อไอน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของ BUP ที่จังหวัดขอนแก่น คาดจะใช้เงินลงทุนประมาณ 180 ล้านบาท ปัจจุบันเริ่มดำเนินการตามโครงการแล้ว และคาดว่าจะเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/65
ส่วนธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จะมีหลายโครงการ ประกอบด้วย โครงการผลิตและจัดจำหน่ายสารให้ความหวาน, โครงการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงที่ส่งเสริมสุขภาพ, โครงการขยายธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายสารสกัดแอสตาแซนธิน และโครงการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบริษัท