อัลฟาเบต บ.แม่กูเกิล กำไรไตรมาสแรกหดกว่า 5 หมื่นล้านบาท

บริษัทอัลฟาเบต บริษัทแม่ของกูเกิล เปิดเผยตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2022 เมื่อวันที่ 26 เมษายน พบว่าแม้ตัวเลขรายได้จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปีก่อนถึง 23 เปอร์เซ็นต์ ไปอยู่ที่ 68,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ด้วยต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ลดลงเหลือ 16,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 17,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 54,000 ล้านบาท

การเปิดเผยรายได้ไตรมาสแรกในปีนี้มีขึ้นหลังจากกูเกิลมีรายได้ตลอดปี 2021 ทำลายสถิติทะลุ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกอยู่ที่ 257,000 ดอลลาร์สหรัฐ

รายงานระบุว่ากำไรที่ลดลงดังกล่าวเป็นผลจากต้นทุนวิจัยและพัฒนาสูงขึ้นในไตรมาสแรกนี้เทียบกับปีก่อนถึงกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 7,485 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปอยู่ที่ 9,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นิวยอร์กไทม์ รายงานว่า อัลฟาเบต สูญเสียมูลค่าในตลาดหุ้นไปมากถึง 1,070 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่างจากปีก่อนที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน

สำหรับธุรกิจเสิร์ชเอ็นจินของกูเกิลมีรายได้ในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จาก 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปอยู่ที่ 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ธุรกิจโฆษณาโดยรวมของกูเกิล ที่รวมไปถึงการค้นหา ยูทูบ และเครื่อข่ายต่างๆสามารถทำรายได้ได้ถึง 54,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีนี้

รายได้จากการโฆษณาของยูทูบก็เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 6,860 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มีการเติบโตที่ช้าลงกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา  จากการโฆษณาในไตรมาสแรกของปีนี้เติบโตขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ TikTok ที่ได้รับความนิยมสูงขึ้น เทียบกับรายได้เมื่อปีก่อนที่โตถึง 30 เปอร์เซ็น แม้ยูทูบจะมีการขยายการสนับสนุนคลิปวิดีโอสั้นอย่าง Short แต่การเติบโตก็ไม่ได้สูงอย่างที่คาด ส่งผลให้หุ้นของอัลฟาเบต นอกเวลาทำการร่วงลงราว 7 เปอร์เซ็นต์

Google’s Q1 revenue:

2022: $68.0 billion
2021: $55.3 billion
2020: $41.2 billion
2019: $36.3 billion
2018: $31.1 billion
2017: $24.8 billion
2016: $20.3 billion
2015: $17.3 billion
2014: $15.4 billion
2013: $12.9 billion
2012: $10.6 billion
2011: $8.6 billion
2010: $6.8 billion

— Jon Erlichman (@JonErlichman) April 26, 2022