รีเซต

"อินเดีย" ขาขึ้น โกยเงินพุ่ง ยักษ์เทคโนโลยีแห่เข้าลงทุนยาว ตอบโจทย์ศูนย์กลางโลก สู้สงคราม "เอไอ"

"อินเดีย" ขาขึ้น โกยเงินพุ่ง ยักษ์เทคโนโลยีแห่เข้าลงทุนยาว ตอบโจทย์ศูนย์กลางโลก สู้สงคราม "เอไอ"
TNN ช่อง16
29 ธันวาคม 2568 ( 08:00 )
10

"อินเดีย" มาแรงไม่แผ่ว โกยเงินกลุ่มทุนสายเทคโนโลยีต่อเนื่อง บิ้กเทคฯ ตั้งแต่ "ไมโครซอฟต์"  "อเมซอน"  รวมไปถึง "กูเกิ้ล"  ยังคงตบเท้าหอบเงินเข้าไปลงทุนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อรองรับการเติบโตและการลุยพัฒนาเอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์  (AI) ที่เป็นศึกใหญ่ระดับโลกในเวลานี้ 


ล่าสุด คือ ไมโครซอฟต์  (Microsoft)  ที่ประกาศเตรียมลงทุนมากถึง 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ในประเทศอินเดีย ระยะ 4 ปีข้างหน้าหลังจากนี้ไป ซึ่งการทุ่มทุนครั้งนี้ ถือเป็นข่าวใหญ่ เพราะเป็นการลงทุนครั้งมหึมา เป็นเงินก้อนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียของไมโครซอฟต์ 


สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ซีอีโอของ ไมโครซอฟต์ (Microsoft) เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าว หลังจากได้เข้าพบกับผู้นำของอินเดีย นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568  โดยเขาได้โพสต์บนแพลตฟอร์ม X พร้อมกับรูปภาพของเขากับโมดี และระบุว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ของ Microsoft ซึ่งเงินทุนนี้จะถูกนำไปใช้เพิ่มเติมจากเงินลงทุน 3 พันล้านดอลลาร์ ที่ Microsoft ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้เมื่อช่วงประมาณเดือนมกราคมที่ผ่านมา  


ในโพสต์โซเชียลมีเดียของสัตยา ได้กล่าวขอบคุณนายกฯอินเดีย สําหรับการสนทนาที่สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับโอกาสด้าน AI ของอินเดีย" และอธิบายว่าการลงทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อ "ช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะ และขีดความสามารถที่เป็นอิสระที่จําเป็นสําหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของอินเดีย


ขณะที่นายกรัฐมนตรี โมดี เองก็ได้กล่าวถึงการลงทุนของไมโครซอฟต์เช่นเดียวกัน โดยระบุว่า เยาวชนของอินเดียจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและใช้พลังของ AI เพื่อโลกที่ดีขึ้น และโลกมีความหวังในอินเดียเมื่อพูดถึงเอไอ 


ข้อมูลจากไมโครซอฟต์เปิดเผยว่า เงินทุนทั้งหมดจะถูกนำไปใช้เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงวัตถุประสงค์อื่นๆ  ซึ่ง Data center คลาวด์ในภาคกลางตอนใต้ของอินเดีย เมืองไฮเดอราบัดจะมีการเปิดใช้งานได้ในช่วงกลางปีหน้า (2026) พร้อมกันนี้บริษัทจะเร่งขยาย Data center ทั้ง 3 แห่งที่ใช้งานอยู่แล้ว ทั้งเมืองเจนไนและไฮเดอราบัดทางตอนใต้ของอินเดีย และปูเนทางตะวันตก


หลังจากไมโครซอฟต์ประกาศลงทุนในอินเดียได้ไม่นาน ล่าสุดอเมซอน (Amazon) ก็ตบเท้าตามมาเช่นกัน  อเมซอนประกาศว่าจะลงทุนครั้งใหญ่ถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 1.25 ล้านล้านบาท ในธุรกิจคลาวด์และ AI ของอินเดียภายในปี 2573 การลงทุนครั้งนี้เปิดเผยในการประชุมสุดยอด Smbhav ที่กรุงนิวเดลี และเป็นการต่อยอดจากเงินลงทุนเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์ที่ Amazon ได้ลงทุนไปแล้วในประเทศอินเดีย


อเมซอน คาดการณ์ว่าแผนดังกล่าวจะสร้างงานเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านตำแหน่ง ทั้งทางตรง ทางอ้อม  พร้อมทั้งเพิ่มการส่งออกเป็น 4 เท่า คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 80,000 ล้านดอลลาร์  และสร้างประโยชน์ด้าน AI ให้กับธุรกิจขนาดเล็กกว่า 15 ล้านแห่ง ต่อเนื่องจากที่้ก่อนหน้านี้ ในปี 2566  Amazon Web Services ก็เคยประกาศการลงทุน 12,700 ล้านดอลลาร์มาแล้วเช่นกัน 


ที่่น่าสนใจ คือ นอกเหนือจากไมโครซอฟต์ และอเมซอน แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นาน กูเกิล (Google) ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งรายสำคัญของตลาด ก็เพิ่งมีการประกาศการลงทุน 1 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอินเดียไปแล้วเช่นกัน โดยเป็นการลงทุนระยะเวลา 5 ปี จนถึงปี  2573   เพื่อพัฒนาศูนย์กลางเอไอ ในเมืองวิศาขาปัฏฏนัม ทางตอนใต้ ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของ Data center แหล่งพลังงาน และเครือข่ายใยแก้วนำแสง

อินเดียกลายเป็นคำตอบของตลาดเทคโนโลยี ซึ่งไม่ใช้เพียงแค่งานหลังบ้านอย่างดาต้าเซ็นเตอร์ แต่โรงงานมือถือสมาร์ทโฟนก็กำลังเติบโตพุ่งแรงด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ซัมซุง ไปถึงไอโฟน 


แบรนด์มือถือสมาร์ทโฟนระดับโลก กำลังเร่งย้ายและกระจายซัพพลายเชนออกจากจีน ท่ามกลางแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายภาษีของสหรัฐฯ


ล่าสุดซัมซุง (Samsung)  ประกาศขยายกำลังการผลิตในอินเดียอย่างจริงจัง ทั้งในกลุ่มสมาร์ทโฟนและการเริ่มผลิตแล็ปท็อปในโรงงานเมืองเกรเทอร์ นอยดา โดยรัฐบาลอินเดียยืนยันว่า ประเทศนี้เป็นฐานการผลิตสมาร์ทโฟนใหญ่อันดับสองของโลก รองจากเกาหลีใต้ การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวของ Samsung ที่ปักหมุดอินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตและนวัตกรรม โดยบริษัทมีศูนย์วิจัยและพัฒนาในอินเดียขนาดใหญ่ที่สุดนอกเกาหลีใต้ มีวิศวกรมากกว่า 7,000 คน ทำหน้าที่พัฒนาเทคโนโลยีและฟีเจอร์ AI สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ แม้ Samsung จะครองอันดับสองในตลาดสมาร์ทโฟนอินเดีย แต่ในตลาดแล็ปท็อปยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นขยายฐาน


ในฝั่ง Apple อินเดียกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของห่วงโซ่การผลิตระดับโลก หลังสามารถแซงจีนขึ้นเป็นประเทศผู้ผลิต iPhone เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากที่สุดเป็นครั้งแรก ข้อมูลจาก Canalys ระบุว่า ไตรมาส 2 ปีนี้


อินเดียมีสัดส่วนการผลิตสมาร์ทโฟนส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 44% ตามด้วยเวียดนาม 33% และจีนลดลงเหลือ 25% จากเดิมที่เคยครองตลาดมากกว่า 60% การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจาก Apple เร่งย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงด้านภาษีนำเข้าและภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้การส่งออกสมาร์ทโฟนจากอินเดียพุ่งขึ้นถึง 240% เมื่อเทียบกับปีก่อน


ทำไม "อินเดีย"  ถึงกลายเป็นจุดหมายทางที่น่าสนใจ ?  คำตอบคือบุคลากรพร้อม ต้นทุนต่ำ โครงสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง


ประเทศอินเดีย กลายเป็นคำตอบสำหรับการลงทุน ในอุตสาหกรรม Data center ระดับโลก 


ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ CBRE และข้อมูลจาก Ericsson ระบุว่าอินเดียมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และรัฐบาลมีการผลักดัน AI ระดับโลกอย่างเต็มที่ 


สมาร์ทโฟนในอินเดียใช้ข้อมูลเฉลี่ยประมาณ 36 กิกะไบต์ต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าในอเมริกาเหนือถึง 44% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 71%  กำลังการผลิต Data center อินเดียเติบโตขึ้นมากกว่า 150% ตั้งแต่ปี 2021 เป็น 1.5 กิกะวัตต์ ขณะเดียวกันก็พบว่าต้นทุนการสร้างศูนย์ข้อมูล ในอินเดียยังถูกกว่าในญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน หรือมาเลเซีย


ข้อมูลล่าสุดจาก Global AI Vibrancy Tool ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มีการจัดอันดับศักยภาพด้านเอไอของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รายงานดังกล่าวอาศัยข้อมูลกว่า 42 ตัวชี้วัด ครอบคลุมตั้งแต่งานวิจัยทางวิชาการ การลงทุนจากภาคเอกชนและรัฐ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล นโยบายสาธารณะ ไปจนถึงทัศนคติของสังคมต่อการนำเอไอมาใช้งาน ก่อนนำมาประมวลผลเป็นคะแนนที่เรียกว่า AI Vibrancy Score หรือ “คะแนนความสามารถด้านเอไอ” เพื่อสะท้อนภาพรวมความพร้อมเชิงโครงสร้างของแต่ละประเทศ


การจัดอันดับล่าสุดของสแตนฟอร์ดเปิดเผย 30 อันดับประเทศที่มีศักยภาพด้านเอไอสูงที่สุดในโลก โดยสหรัฐอเมริกาครองอันดับหนึ่งอย่างทิ้งห่าง ด้วยคะแนนสูงถึง 78.6 คะแนน สะท้อนสถานะผู้นำด้านเอไอของโลกอย่างชัดเจน ทั้งในเชิงเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และนวัตกรรม ตามมาด้วยจีนในอันดับสองที่ได้คะแนน 36.95 และอินเดียในอันดับสามที่ 21.59 คะแนน ซึ่งทั้งสามประเทศถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางหลักของการพัฒนาและขับเคลื่อนเอไอในเวทีโลกปัจจุบัน


ความได้เปรียบของสหรัฐมาจากความแข็งแกร่งรอบด้าน ตั้งแต่เม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชนในเทคโนโลยีเอไอที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ระบบมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยระดับแนวหน้า ไปจนถึงระบบนิเวศของสตาร์ตอัปเอไอที่เติบโตต่อเนื่องและสามารถต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ได้อย่างรวดเร็ว ปัจจัยเหล่านี้ทำให้สหรัฐยังคงรักษาความเป็นผู้นำในสมรภูมิเอไอได้อย่างเหนียวแน่น


ด้านจีน แม้คะแนนรวมจะห่างจากสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ แต่จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ปริมาณงานวิจัย การยื่นจดสิทธิบัตรด้านเอไอ และการนำเทคโนโลยีไปใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐในวงกว้าง สะท้อนยุทธศาสตร์ของรัฐจีนที่ผลักดันเอไอเป็นเครื่องยนต์หลักในการยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในระยะยาว


ขณะที่อินเดียถูกจัดให้อยู่ในอันดับสามจากความแข็งแกร่งของฐานบุคลากรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ระบบดิจิทัลที่ขยายตัวรวดเร็ว และบทบาทของประเทศในฐานะศูนย์กลางแรงงานทักษะสูงด้านไอทีและซอฟต์แวร์ ซึ่งเริ่มถูกต่อยอดสู่การพัฒนาและประยุกต์ใช้เอไอมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ภาพรวมจาก Global AI Vibrancy Tool ของสแตนฟอร์ดสะท้อนให้เห็นว่า การแข่งขันด้านเอไอไม่ได้วัดกันเพียงจำนวนโมเดลหรือเทคโนโลยีล้ำสมัยเท่านั้น แต่เป็นการแข่งขันเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมทั้งทุนมนุษย์ เงินลงทุน นโยบายรัฐ และการยอมรับของสังคม ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดทิศทางเศรษฐกิจโลกในทศวรรษต่อจากนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง