รีเซต

Google ก็ไม่รอด? ฟองสบู่ "เอไอ" ความเสี่ยงครั้งใหญ่ จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรม "เทคโนโลยี"

Google ก็ไม่รอด? ฟองสบู่ "เอไอ" ความเสี่ยงครั้งใหญ่ จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรม "เทคโนโลยี"
TNN ช่อง16
26 พฤศจิกายน 2568 ( 08:00 )

ฟองสบู่ "เอไอ" ความเสี่ยงครั้งใหญ่ หรือแค่กลัวเกินจริง? 


ไม่มีใครหนีพ้น ไม่มีบริษัทไหนรอด ถ้าหากฟองสบู่เอไอแตกจริง นี่คือคำเตือนจากทาง ซีอีโอของกูเกิ้ล หลังจากที่เกิดกระแสความกังว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเอไอที่กำลังเฟื่องฟูพุ่งแรงในช่วงเวลาที่ผ่านมาจะต้องล่มสลายกลายเป็นฟองสบู่แตก ฟังดูน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเห็นแย้งจาก ซีอีโอของอินวีเดีย ที่เชื่อว่าจะไม่เกิดฟองสบู่แตก แต่จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการ   


ฟองสบู่แตก เป็นสิ่งที่หลายคนโดยเฉพาะนักลงทุนและคนที่ตามข่าวเศรษฐกิจอาจจะฟังแล้วกลัว ซึ่งคำว่าฟองสบู่ใช้เปรียบกับภาวะเศรษฐกิจที่ราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินมูลค่าที่แท้จริงจากการเก็งกำไร จนกระทั่งถึงจุดที่ราคาไม่สามารถสูงขึ้นได้อีกต่อไป และนักลงทุนจำนวนมากแห่ขายสินทรัพย์พร้อมกัน ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เหมือนกับฟองสบู่ที่แตก และหากเป็นบ้านเรา คนไทย น่าจะรู้จักกันดีกับวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 


แต่วันนี้คำว่า "ฟองสบู่แตก" กำลังมาหลอกหลอน การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านเอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์  มีคำเตือนออกมาจากหลายฝ่ายอย่างต่อเนื่องว่าให้จับตาและเฝ้าระวังเพราะความร้อนแรงในอดีตนั้นเกินจริงและเสี่ยงจะล่มสลาย แม้กระทั่ง IMF ก็ยังออกมากระทุ้งถึงเรื่งอนี้ แต่อย่างไรก็ตามก็มีการถกเถียงในหลายด้าน และมุมมองที่เห็นคัดค้านเช่นกันว่าอาจจะไม่เกิดขึ้น หรือเป็นไปไม่ได้ 


รวมไปถึงล่าสุด มุมมองจากผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกอย่างกูเกิ้ล โดยซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอัลฟาเบท (Alphabet) บริษัทแม่ของกูเกิล (Google)ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ว่า หากกระแสความเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถึงคราวล่มสลายจริงก็คงจะไม่มีบริษัทไหนรอดพ้นไปได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาภาวะที่มูลค่าบริษัทและเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างร้อนแรง 


พิชัยยังกล่าวด้วย แม้กระแสการลงทุน AI ในปัจจุบันนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยอมรับว่าตลาดมีองค์ประกอบของความไร้เหตุผลอยู่จริง  โดยเขาได้เปรียบเทียบว่า วงจรลงทุนลักษณะนี้ “มักจะเกิดการทุ่มเกินจริง (overshoot)” เหมือนครั้งที่อินเทอร์เน็ตบูม แต่สุดท้ายเทคโนโลยีก็พิสูจน์ว่ามีความเปลี่ยนโลกตามมา “AI ก็จะเป็นแบบเดียวกัน แค่มีทั้งเหตุผลและไร้เหตุผลปะปนในช่วงแบบนี้”  ซึ่งเป็นคำเตือนที่ชวนให้นึกถึงภาวะความคึกคักเกินจริงอย่างไม่มีเหตุผลในยุคฟองสบู่ดอทคอม


เช่นเดียวกับการที่ก่อนหน้านี้ ก็มีนักวิเคราะห์หลายรายที่ได้ออกมาแสดงความเห็นและถกเถียงกันเป็นวงกว้าง เรื่องความยั่งยืนของการประเมินมูลค่าบริษัท AI ต่างๆ ที่ถือว่าอยู่ในระดับสูงลิ่ว และมีการตั้งคำถามถึงรายได้จริงที่ยังถือว่าน้อยกว่าการลงทุนหลายร้อยเท่า แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ เจมี ไดมอน จาก JPMorgan ก็เตือนว่าเม็ดเงินจำนวนหนึ่งใน AI “น่าจะสูญเปล่าแน่นอน” แม้สุดท้ายเทคโนโลยีจะสร้างประโยชน์ก็ตาม

 

ดังนั้นหลายฝ่ายจึงเริ่มกังวลและประสานเสียงกันว่า การลงทุนในเทคโนโลยี หรือหุ้นเอไอ เหล่านี้จะซ้ำรอยยุค"ฟองสบู่ดอทคอม" (dotcom era) ซึ่งเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 1990 เป็นช่วงยุคทองของอินเทอร์เน็ต ที่มีนักลงทุนแห่เข้าไปทุ่มเม็ดเงินลงทุนในบริษัทไอทีจำนวนมหาศาล แม้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะยังไม่มีความสามารถในการทำกำไรก็ตาม 


และเมื่อพิชัยถูกถามว่า กูเกิล (Google) จะรับมืออย่างไร หากเกิดฟองสบู่แตกในเอไอขึ้นจริงๆ  พิชัยให้คำตอบว่า บริษัทของเขาจะสามารถผ่านพ้นพายุนี้ไปได้ แต่ก็ให้ความเห็นว่าหากเกิดภาวะฟองสบู่แตกเกิดขึ้นจริง ตัวเขาเองไม่คิดว่าจะมีบริษัทไหนที่จะหนีรอดพ้นจากผลกระทบของวิกฤตนี้ไปได้ รวมถึงกูเกิล (Google) เองด้วยเช่นกัน ก็ต้องมีผลกระทบเกิดขึ้น แม้ว่ากูเกิลจะมีความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีและมีฐานธุรกิจที่หลากหลายก็ตาม


ย้อนกลับไปในปีนี้ 2568   หุ้นอัลฟาเบททะยานขึ้นเกือบ 50% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนต่างคาดหวังในความสามารถของ กูเกิล (Google) ว่าจะสามารถแข่งขันกับบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ชื่อดังอย่าง โอเพนเอไอ (OpenAI) ผู้สร้างปัญญาประดิษฐ์ แชทจีพีที (ChatGPT) ได้  ขณะที่มูลค่าตลาดของอัลฟาเบทก็พุ่งขึ้นไปกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ สอดรับกับภาพรวมของทั้งอุตสาหกรรมที่ได้แห่กันทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลสำหรับเทคโนโลยี AI ตั้งแต่โมเดล ไปจนถึงชิปประมวลผลขั้นสูง โดยเฉพาะผู้นำตลาด อย่าง Nvidia ที่สามารถขึ้นแท่นกลายเป็นบริษัท 5 ล้านล้านดอลลาร์รายแรกของโลกได้สำเร็จ 




เจนเซน หวง ซีอีโอ "Nvidia" ย้ำกระแส AI ยังไม่ใช่ "ฟองสบู่" แต่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมชิปและดาต้าเซ็นเตอร์ 


สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจนเซน หวง (Jensen Huang) ซีอีโอของ Nvidia ระบุว่า ไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ AI แต่กลับมองว่านี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมคอมพิวติ้งที่จะขยายตัวไปทุกภาคส่วน ตั้งแต่การเขียนโค้ดไปจนถึงการควบคุมกองทัพหุ่นยนต์ในชีวิตประจำวัน


ซีอีโอ Nvidia ระบุในสายประชุมผู้ถือหุ้นว่า Nvidia มองเห็นสิ่งที่แตกต่างจากที่ตลาดพูดถึงฟองสบู่ AI โดยเขามอง 3 การเปลี่ยนผ่านสำคัญที่ทำให้ Nvidia อยู่ในตำแหน่งเติบโตระยะยาว ได้แก่ การย้ายซอฟต์แวร์ที่ไม่ใช่ AI เช่น การจำลองวิศวกรรมและดาต้าไซเอนซ์ จาก CPU แบบเดิม ไปใช้ชิปพลังสูงของ Nvidia รวมถึงการเกิดขึ้นของหมวดหมู่ซอฟต์แวร์ใหม่ เช่น ผู้ช่วยเขียนโค้ด และการขยาย AI จากโลกดิจิทัล เช่น แชตบอต ไปสู่โลกจริง เช่น รถยนต์ หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ


ซีอีโอ Nvidia กล่าวว่า “ไดนามิกพื้นฐานทั้ง 3 อย่างนี้ จะผลักดันการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายปี และ Nvidia ถูกเลือกเพราะสถาปัตยกรรมแบบเดียวของเรารองรับทั้งหมด”


ขณะเดียวกันอินวิเดีย (Nvidia) ได้รายงานผลประกอบการล่าสุด ไตรมาส 3 ของปีนี้ ปรากฎว่าออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ทั้งกำไรและรายได้ พร้อมยังคาดการณ์ยอดขายไตรมาส 4 ที่สูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์อย่างมีนัยสำคัญ


แรงหนุนสำคัญมาจากดีมานด์ชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยังคงร้อนแรง ซึ่งทำให้ Nvidia ก้าวขึ้นเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยมีลูกค้ารายใหญ่ทั้ง Microsoft, Amazon, Google, Oracle และ Meta ส่งผลให้ผลประกอบการและแนวโน้มของ Nvidia ถูกจับตามองในฐานะตัวชี้วัดทิศทางกระแส AI ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี


นอกจากนี้บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลกอย่าง Microsoft, Meta, Amazon และ Alphabet ต่างเพิ่มเม็ดเงินลงทุนด้าน AI จนรวมกันกว่า 3.80 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งสะท้อนความต้องการชิปของอินวิเดียที่ยังเติบโตต่อเนื่อง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง