รีเซต

ไทยเดินเกมสำคัญ เปลี่ยนสมรภูมิเป็นเวทีการทูต เปิดหลักฐานเด็ดต่อหน้าผู้สังเกตการณ์

ไทยเดินเกมสำคัญ เปลี่ยนสมรภูมิเป็นเวทีการทูต เปิดหลักฐานเด็ดต่อหน้าผู้สังเกตการณ์
TNN ช่อง16
20 สิงหาคม 2568 ( 15:00 )
9

ไทยเปลี่ยนชายแดนกลายเป็นเวทีการทูต

 

แม้การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จะเริ่มสงบจากเสียงปืนและระเบิด แต่แนวรบอื่น ๆ ยังคงดุเดือดทั้งการปะทะกันด้วยสงครามข่าวสาร ผลกระทบทางเศรษฐกิจ  โดยเกมที่ไม่อาจมองข้าม และ สำคัญยิ่ง คือ“เกมทางการทูต” ที่ไทยเลือกการเดินเกมอย่างรอบคอบตรงข้ามกับกัมพูชาที่เน้นการเดินหมกาเร็วและเน้นจำนวน 

 

การนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน ลงพื้นที่ชายแดนเพื่อชี้ให้เห็นหลักฐานการบุกรุกด้วยอาวุธหนักและการใช้ทุ่นระเบิดโดยกัมพูชา คือการส่งสัญญาณครั้งใหญ่ของไทยว่าจะไม่สู้เพียงลำพังแต่เลือกใช้เวทีภูมิภาคเป็นเครื่องมือในการกดดัน

 

รศ.ดร.ดุลยภาพ ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการคนชนข่าว TNN ว่า การนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน ลงพื้นที่ชายแดนนี่คือการเปิดหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อให้ผู้แทนอาเซียนได้เห็นกับตา ว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และยังเดินหน้าฝังทุ่นระเบิดซึ่งขัดต่ออนุสัญญาออตวา 

 

คณะผู้สังเกตการณ์สำคัญอย่างไร?

 คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว  (Interim Observer Team: IOT) แม้ไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์ระดับนานาชาติ แต่มีน้ำหนักเชิงสัญลักษณ์อย่างมาก ประกอบผู้ช่วยทูตทหาร จาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม รวมทั้งสิ้น 14 นาย โดยมี พล.ต.ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะ

 

หลักฐานที่ไทยเปิดให้โลกเห็น

การเห็นความจริงด้วยสายตาตัวเอง ด้วยการใช้พยานวัตถุ ในพื้นที่จริงแนวชายแดน คือ กลยุ?ธ์ที่ไทยเน้นย้ำมาโดยตลอด แต่คราวนี้ดูจะมีความพร้อมมากขึ้น โดยกำหนดการณ์ของคณะผู้สังเกตการณ์ลงไปเพื่อให้สัมผัสทั้งความรู้สึกของคน หลักฐานจากสถานที่จริง ประกอบไปด้วย

 -ทุ่นระเบิด PMN-2 ที่กัมพูชาฝังไว้ พบทั้งชนิดสังหารบุคคล และชนิดดักรถถัง จำนวน 46 ลูก (16 ลูกยังไม่ระเบิด)

 -พื้นที่พลเรือนที่ได้รับความเสียหาจากการยิงจรวด BM-21 ของกัมพูชา ที่มีความแม่นยำน้อยและทำให้ชาวบ้านเจ็บตาย บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี 

 -จุดยอดภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ที่ทหารไทยผลักดันทหารกัมพูชาออกไป พร้อมปักธงชาติไทย เพื่อให้เก็นถึงเขตอธิปไตยของไทย และ การจัดการพื้นที่อย่างมีอารยะ

 -พื้นที่ช่องจุ๊ปตะโมก จุดที่ทหารพรานไทยเหยียบทุ่นระเบิด

 -ความเป็นอยู่ของเชลยศึกใน จ.สุรินทร์ แสดงให้เห็นว่าฝ่ายไทยปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม

แต่สิ่งที่สร้างแรงกระเพื่อมมากที่สุดคือการค้นพบ โทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชา ซึ่งมีทั้งภาพถ่าย วิดีโอ และเสียงภาษาเขมรที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าทหารกัมพูชากำลังถือทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 และสาธิตวิธีใช้งานก่อนนำไปฝังในเขตไทย ข้อมูลจากโทรศัพท์ยังระบุวันเวลาแน่ชัด กลายเป็นหลักฐานมัดแน่น

 

กัมพูชาสร้างดราม่าต่อหน้าคณะผู้สังเกตการณ์

 

บรรยากาศลงพื้นที่ไม่ใช่แค่ไทยโชว์หลักฐานฝ่ายเดียว แต่ยังมีดราม่าเมื่อทหารกัมพูชาออกมาโวยวายว่าพื้นที่ที่นำคณะ IOT ไปดูนั้นเป็นของกัมพูชา และประชาชนเขมรอาศัยอยู่มานาน ท่ามกลางสื่อมวลชนและทูตที่ยืนฟังอยู่

 

การโต้เถียงต่อหน้าสาธารณะเช่นนี้ แม้ดูเล็กน้อย แต่กลับสะท้อนว่าชายแดนไทย-กัมพูชายังเป็นพื้นที่สีเทาที่ต่างฝ่ายต่างยืนยันสิทธิของตนเอง และนั่นยิ่งทำให้การมีผู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นกลางอย่างคณะ IOT มีความหมาย

 


การนำผู้สังเกตการณ์ลงพื้นที่ครั้งนี้ถึงสำคัญอย่างไร?

 

รศ.ดร.ดุลยภาพ  ระบุว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไทยพาคณะทูตลงพื้นที่ ก่อนหน้านี้เราเคยเชิญทูตจาก 33 ประเทศไปดูการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา แต่ครั้งนั้นเป็นการเคลื่อนไหวใหญ่ระดับโลก แต่ครั้งนี้แตกต่าง เพราะไทยเลือกเน้นเวทีอาเซียนก่อน 


โดยหากการลงพื้นที่ครั้งนี้ หากประสบความสำเร็จ คณะผู้สังเกตการณ์ได้รับทราบข้อเท็จจริง อาจนำไปสู่การออกแถลงการณ์บางอย่างที่ชื่นชมไทยและประณามกัมพูชา หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นแถลงการณ์กลางๆที่เรียกร้องสันติภาพ ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้เน้นเวทีอาเซียนเป็นหลัก แตกต่างจากครั้งก่อนที่พาคณะทูต 33 ประเทศลงพื้นที่ จะเป็นชุดใหญ่กว่าและเน้นอนุสัญญาออตตาวา สามารถผลักดันประเด็นไปถึงสหประชาชาติได้


 
 “ไทยต้องแสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่ากัมพูชาเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการยิงจรวดที่ขาดความแม่นยำจนสังหารพลเรือน, ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์, หรือการใช้ทุ่นระเบิดที่ทำลายบรรยากาศสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิง โดยยุทธศาสตร์ของไทยคือการสกัดกั้นและตรึงภัยคุกคามของกัมพูชาให้อยู่กับที่ โดยใช้แนวคิดโลกล้อมกัมพูชา และอาจดึงประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมมือด้วย เพราะเริ่มไม่ไว้วางใจกัมพูชา เช่น สปป.ลาว และเวียดนาม” รศ.ดร.ดุลยภาพ กล่าว
 
ส่วนการละเมิดอนุสัญญาต่างๆ อย่างออตตาวาและเจนีวา กลไกเหล่านี้ไม่ได้มีบทลงโทษที่รุนแรง ทำได้เพียงประณาม โดดเดี่ยว หรือตัดงบช่วยเหลือกัมพูชาเท่านั้น เช่นเดียวกับมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือสมช.ที่ให้ดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญากับผู้นำกัมพูชาในศาลไทย ก็เป็นคดีภายในประเทศยังไม่ใช่ "หมัดน็อค" เพราะเป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์และสามารถโต้ตอบกันไปมาระหว่างสองประเทศได้ง่าย


 
 “หมัดน็อคจริงๆ คือการนำคดีไปสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ในข้อหาอาชญากรสงคราม ซึ่งจะกดดันผู้นำกัมพูชาได้อย่างแท้จริง แต่ต้องใช้เวลาในการรวบรวมหลักฐานและศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยไทยควรเร่งรัดกระบวนการนี้” นักวิชาการย้ำ 


 


เมื่อมองภาพรวม เราจะเห็นว่าไทยเลือกใช้ “การทูตแบบเปิดหลักฐาน” เพื่อสร้างแรงกดดันต่อกัมพูชาในระดับอาเซียน และวางเป้าหมายต่อไปที่เวทีโลก

เกมนี้อาจไม่จบเร็ว เพราะกัมพูชาเองก็มีท่าทีแข็งกร้าว และอาเซียนไม่ใช่องค์กรที่กล้าชนกันตรง ๆ แต่การได้คณะผู้สังเกตการณ์มาลงพื้นที่ ก็คือการปักหมุดทางประวัติศาสตร์ ว่าไทยไม่ยอมให้ชายแดนถูกบิดเบือน

 แม้หมัดน็อค อาจยังมาไม่ถึงในเร็ววันนี้ แต่การสะสมแต้ม การสร้างพันธมิตร และการให้โลกเห็นความจริง ก็คือเส้นทางที่ไทยกำลังเดินอยู่

และเส้นทางนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชาเท่านั้น หากยังเป็นบททดสอบของอาเซียนว่า องค์กรภูมิภาคนี้จะรับมือกับความขัดแย้งภายในประเทศกลุ่มสมาชิกได้จริงหรือไม่

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง