ทรัมป์เล็งเก็บ “ภาษีเฟอร์นิเจอร์” กระทบไทย

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศผ่านทาง Truth Social ว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณากำหนดอัตรากำแพงภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้าเฟอร์นิเจอร์ โดยขณะนี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริง เหตุผลความจำเป็น เพื่อการกำหนดอัตรากำแพงภาษีเฟอร์นิเจอร์ที่จะนำเข้า ได้กำหนดกรอบเวลาในการประกาศอัตราภาษีเฟอร์นิเจอร์ภายใน 50 วัน (นับจากวันที่ 22 ส.ค.)
มีการวิเคราะห์กันว่า ภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้าเฟอร์นิเจอร์ อ้างอิงหลักเกณฑ์ตามมาตรา 232 (Section 232) ของพรบ. การค้า (Trade Expansion Act 1962) กฎหมายนี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถสืบสวนและพิจารณาว่าการนำเข้าสินค้าบางชนิดเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ หรือไม่ และหากพบว่าเป็นภัย ก็สามารถกำหนดอัตราภาษีนำเข้าหรือมาตรการอื่นๆ ได้
คาดว่าอัตราการจัดเก็บสูงกว่าภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่เก็บจากไทยร้อยละ 19 และหากพิจารณาเทียบเคียงกับอัตรากำแพงภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่ใช้มาตรา 232 พบว่า กำหนดภาษีสูงถึงร้อยละ 50 ”
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองไมอามี ของไทย รายงานถึงกำแพงภาษีเฟอร์นิเจอร์ และมีการวิเคราะห์จุดเปลี่ยนของธุรกิจและอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในสหรัฐฯ ว่า การประกาศอัตรากำแพงภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้เคยลงนามคำสั่งประธานาธิบดี (Executive Order) ว่าด้วยภัยคุมคามต่อความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ จากการนำเข้าไม้ดิบ ไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ โดยสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ดำเนินการสืบสวนเพื่อเสียเปรียบทางการค้า ตลอดจนผลกระทบด้านอื่น ๆ ซึ่งปธน.ทรัมป์ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงต่อสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคมเป็นต้นมา คาดว่าคำสั่งนี้คือต้นเรื่องของการกำหนดอัตรากำแพงภาษีนำเข้าเฉพาะกลุ่มสินค้า (Sectoral tariff) เหมือนกรณี การตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม
แม้ว่าจากคำประกาศของปธน.ทรัมป์ จะขีดเส้นให้กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นได้ข้อสรุปเป็นตัวเลขภายใน 50 วัน ซึ่งหมายถึงช่วงกลางเดือนตุลาคมของปีนี้ แต่ทว่ากฎระเบียบในทางเทคนิคนั้นได้กำหนดกรอบเวลาในการสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯให้แล้วเสร็จใน 270 วัน และกรอบเวลาสำหรับประธานาธิบดีอีก 90 วันในการสั่งการตามผลการสอบสวนดังกล่าว ทำให้เส้นตาย 50 วันที่ ปธน.ทรัมป์ประกาศแท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงการหวังผลทางการเมืองก็เป็นได้
สิ่งที่เป็นเหตุผลหรือปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ปธน.ทรัมป์ดำเนินการเรื่องนี้ คงจะหนีไม่พ้นความพยายามในการดึงการลงทุนจากบริษัทต่างชาติ รวมถึงบริษัทอเมริกันที่มีฐานการผลิตในประเทศอื่น พร้อมไปกับผลักดันภาคการผลิตของอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ
ถ้าดูจากข้อความในการประกาศตอนหนึ่ง ระบุถึงความตั้งใจที่จะนำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์กลับมายังมลรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ที่เคยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของโลก แต่ปัจจุบันการผลิตเฟอร์นิเจอร์ลดลงไปมากเมื่อเทียบกับยุครุ่งเรืองในอดีต
เมือง High Point มลรัฐนอร์ท แคโรไลนา: เมืองซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองหลวงของเฟอร์นิเจอร์ของโลก” เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมการออกแบบและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของสหรัฐฯ โดยในช่วงหนึ่งสินค้าเฟอร์นิเจอร์ประมาณร้อยละ 60 ที่ผลิตในสหรัฐฯล้วนมีแหล่งที่มาจากเมืองนี้ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่จัดงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง คืองาน High Point Market ซึ่งจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในพื้นที่จัดงานขนาด 1 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงมาถึงปัจจุบัน
เมือง Grand Rapids มลรัฐมิชิแกน: เมืองซึ่งมีชื่อเล่นว่า “Furniture City” จากการที่เมืองนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทสินค้าเฟอร์นิเจอร์สำหรับออฟฟิสชื่อดังหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Herman Miller, Haworth, American Seating และ Steelcase บริษัทเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากเมืองนี้
เมือง Chicago มลรัฐอิลลินอย: เป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำมากกว่า 300 ราย ซึ่งจากความได้เปรียบด้านระบบการขนส่งของ ทำให้อิลลินอย กลายเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางสินค้าเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่สำคัญที่แหล่งหนึ่งของสหรัฐฯ
ถ้ามาดูสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทย พบว่า เป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่ที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ
สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์จากประเทศไทยมากที่สุดเป็นลำดับที่ 10
ในปี 2567 สหรัฐนเข้ามูลค่า 1,085 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มีกลุ่มสินค้าสำคัญ คือ เฟอร์นิเจอร์ทั่วไป สินค้าโคมไฟ และสินค้าเก้าอี้
ข้อมูลจากส่วนงานวิจัยธุรกิจ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ทำให้เห็นว่า การผลิตเฟอร์นิเจอร์ไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมีการผลิตเพื่อส่งออกคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 70 ซึ่งยอดการส่งออก เฟอร์นิเจอร์ของไทย รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้และโลหะไปด้วย
ตลาดส่งออกสำคัญของไทยในปี 2567 ได้แก่ สหรัฐฯ ครองส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 54 รองลงมาคืออาเซียน ญี่ปุ่น จีน และสหภาพยุโรป
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในปี 2567 การส่งออกเฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบของไทยมีมูลค่ารวม 1,796 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5
ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เทียบปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งส่งออกสินค้า (Front Loading) ไปยังตลาดสหรัฐฯ ก่อนการใช้นโยบายภาษีตอบโต้
ถ้าดูการผลิตที่นับเป็นจำนวนชิ้น อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพบว่ามีทิศทางลดลง โดยระหว่างปี 2564-2567 ปริมาณการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ของไทยลดลง เฉลี่ยร้อยละ 17.4 ต่อปี และในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ปริมาณการ ส่งออกเฟอร์นิเจอร์ปรับตัวลดลงร้อยละ 12.7
การที่การผลิตปริมาณลดลง แต่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นการปรับโครงสร้างการผลิตภายในอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการไทย ที่เปลี่ยนสู่การผลิตเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง หรือผลิตภัณฑ์เฉพาะทางที่มีมูลค่าสูง ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรมแม้มีปริมาณการผลิตและส่งออกที่ลดลง
สำหรับธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ พบว่ามีจำนวนไม่น้อย ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า มีกิจการที่ยังดำเนินการอยู่มีจำนวน 3,270 ราย หากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากไทยในอัตราที่สูงขึ้นอาจกระทบต่อการส่งออกและผู้ประกอบการได้
มีข้อแนะนำ จาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองไมอามี ว่าผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไทย ควรติดตามความคืบหน้าของข้อมูลเชิงนโยบายและกฎระเบียบเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์ เช่น
- รายละเอียดเฉพาะเจาะจงของกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่อาจเข้าข่ายอัตรากำแพงภาษีนำเข้า ซึ่งเป็นไปได้ที่อาจจะเหมารวมทั้งหมดทุกประเภทในอัตราเดียวกัน หรือกำหนดอัตราแยกสำหรับแต่ละกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ อาทิ กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์จำแนกตามวัสดุ (ไม้ เหล็ก หุ้มเบาะ) และ กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ตามหมวดหมู่การใช้สอย (เฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว เป็นต้น)
- รูปแบบการกำหนดอัตรากำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดอัตราเดียวกันบังคับใช้กับทุกประเทศแหล่งนำเข้า หรือระบุเฉพาะเจาะจงอัตราพิเศษสำหรับบางประเทศแหล่งนำเข้า เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการแข่งขันและการกำหนดยุทธศาสตร์ในการส่งออกสินค้า
- การกำหนดข้อยกเว้น กรณียกเว้น และกรอบระยะเวลาในการบังคับใช้อัตรากำแพงภาษีนำเข้า ตลอดจนวิธีการคำนวณอัตรากำแพงภาษีนำเข้าว่าจะเป็นการคำนวณเพิ่มเติมจากอัตรากำแพงภาษีนำเข้าตัวอื่น ๆ หรือคำนวณอาจทดแทนกัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
