JMTทุ่มงบหมื่นล.ซื้อหนี้ ปักธงผลงานปี64โต30%
ทันหุ้น - JMT อัดฉีดงบ 6,000-10,000 ล้านบาท เดินหน้ารับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเข้าพอร์ตเพิ่ม ยิ้มรับเจรจา 2-3 ดีล คาดได้ข้อสรุปปลายในไตรมาส 1/2564 ไม่น้อยกว่า 1 ดีล ชี้ครึ่งหลัง2564 การรับซื้อหนี้พีคสุด มั่นใจผลงานทั้งปี2564 เติบโตโดดเด่นไม่น้อยกว่า 30%
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ประเมินภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ในระบบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และเป็นโอกาสของ JMT ในปี 2564จากสถาบันการเงินจะเร่งทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาเพื่อปรับพอร์ต NPL และภาพรวมเศรษฐกิจสนับสนุนให้ปี2564เป็นโอกาสในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารด้วยต้นทุนที่ดี มองว่าจะช่วยสะท้อนต่อผลการดำเนินงานในปี 2564ที่เติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทุ่มหมื่นล.ซื้อหนี้
โดยแผนการลงทุนในปี 2564บริษัทยังคงมีความสนใจและเดินหน้าเข้าร่วมเสนอราคาทั้งสถาบันการเงิน (Bank) และนอกเหนือจากสถาบันการเงิน (Non-Bank) อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทวางงบประมาณรองรับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพในปีนี้ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท และมากที่สุดไม่เกิน 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้งบประมาณไปราว 3,000 ล้านบาท โดยเบื้องต้นคาดว่าในช่วงครึ่งแรกปี2564 อาจมีการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มากนัก แต่จะพีคที่สุดในช่วงครึ่งหลังปี2564 เพราะเข้าไฮซีซันซึ่งเป็นปกติของทุกปี ทำให้พอร์ตมูลหนี้คงค้างสิ้นปีนี้โตต่อเนื่องจากปีก่อนที่ 207,051 ล้านบาท
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาและรอเซ็นสัญญา (LOI) ประมาณ 3-4 แห่ง ซึ่งสัดส่วนมากกว่า 50%เป็นหนี้ด้อยคุณภาพแบบที่มีหลักประกัน เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถทยอยได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในไตรมาส 1/2564 เป็นต้นไปไม่น้อยกว่า 1 แห่ง นอกจากนี้ ในปี 2564 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากพอร์ตหนี้ที่มีการชำระเสร็จสิ้น (Fully Amortized) ที่จะมีการรับรู้รายได้จากการจัดเก็บหนี้ที่การชำระเสร็จสิ้นเพิ่มมาอีก 7,000-10,000 ล้านบาท สนับสนุนให้ปี2564มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างน้อย 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ที่ 3,206.38ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 1,047.04 ล้านบาท
ขณะที่ธุรกิจประกันภัยนั้น บริษัทมองว่าในปี 2564อาจมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นได้ไม่มากนักเมื่อเทียบจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทหันมามุ่งเน้นการสร้างยอดขายอย่างมีคุณภาพมากกว่าการเพิ่มปริมาณ เพื่อทำให้กำไรของธุรกิจประกันภัยดีขึ้นกว่าปีก่อน ซึ่งจะช่วยหนุนภาพรวมของธุรกิจ JMT แม้ว่าธุรกิจประกันภัยจะมีสัดส่วนรายได้เพียง 8% ของรายได้รวม
ผนึกกำลังแกร่ง
นายปิยะ พงษ์อัชฌา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการต่อยอดธุรกิจของ JMT ที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจในเครือ JMART ซึ่งเป็นการเสริมศักยภาพให้กันในกลุ่ม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาแตกไลน์ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการประเมินราคาสินทรัพย์และการบริหารจัดการสินทรัพย์ ซึ่ง JMT นั้นมีศักยภาพในการบริหารหนี้ และการเข้าประมูลหนี้ เป็นฐานทุนเดิมของธุรกิจอยู่แล้ว โดย JMT จะเป็นผู้จัดหาทรัพยากรในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน จาก NPA ในระบบ
ประกอบกับด้วยบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามารถนำมาร่วมกันเสริมศักยภาพในการแตกไลน์ธุรกิจดังกล่าวได้ และช่วยเสริมรายได้ใหม่ๆ มาให้กับ JMT ที่ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และทำให้กลุ่ม JMART มีศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดจนภายในปี 2564 นี้