สหรัฐฯอ่วมภัยธรรมชาติ น้ำท่วม-ไฟป่า-คลื่นความร้อน สัญญาณชัดจากวิกฤตโลกร้อน

ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2025 สหรัฐอเมริกาเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ 3 รูปแบบอย่างพร้อมกัน ได้แก่ น้ำท่วมในรัฐแมรีแลนด์ ไฟป่าในรัฐมินนิโซตา และคลื่นความร้อนในรัฐเท็กซัส ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนและรุนแรงขึ้นจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในยุคปัจจุบัน
น้ำท่วมในรัฐแมรีแลนด์: เมืองเวสเทิร์นพอร์ทวิกฤตหนัก
รัฐแมรีแลนด์กำลังเผชิญกับภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่จากฝนตกหนักติดต่อกัน โดยเมืองเวสเทิร์นพอร์ทเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด น้ำท่วมเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ส่งผลให้ถนนหลายสายกลายสภาพเป็นคลอง สถานีดับเพลิงของเมืองก็ไม่รอดพ้นจากน้ำท่วม น้ำท่วมที่เกิดขึ้นไม่ได้เพียงแต่สร้างความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบระบายน้ำในเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน ภัยพิบัติดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวางแผนเมืองและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับภัยจากภาวะโลกร้อน
ไฟป่ามินนิโซตา: รุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็ว
ทางตอนเหนือของรัฐมินนิโซตาเกิดไฟป่าใหญ่ 3 จุดที่ลุกลามตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม ได้แก่ “เจนกินส์ ครีค”, “แคมป์ เฮาส์” และ “มังเกอร์ ชอ” ซึ่งรวมแล้วเผาผลาญพื้นที่ป่าไปกว่า 134 ตารางกิโลเมตร หรือราว 83,000 ไร่ สร้างความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างกว่า 140 แห่ง จุดที่น่าเป็นห่วงคือไฟป่ากำลังขยายวงกว้างในช่วงต้นฤดู ซึ่งไม่ปกติสำหรับรัฐที่มีอุณหภูมิปานกลางเช่นมินนิโซตา สาเหตุหนึ่งคือฤดูหนาวที่ผ่านมามีหิมะน้อยและฤดูใบไม้ผลิที่แห้งแล้ง ทำให้เชื้อเพลิงตามธรรมชาติเกิดการติดไฟได้ง่ายขึ้น ด้านเว็บไซต์ Wildfire.gov รายงานว่าไฟป่าจุดใหญ่ที่สุดคือ "เจนกินส์ ครีค" ที่ขยายตัวเร็วผิดปกติ และต้องอาศัยสภาพอากาศช่วยหยุดยั้ง โดยมีการคาดการณ์ว่าฝนในช่วงวันที่ 15 พฤษภาคมจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้บางส่วน
คลื่นความร้อนในเท็กซัส: อากาศร้อนทุบสถิติ
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม อุณหภูมิในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส พุ่งสูงถึง 37.2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงสุดสำหรับวันดังกล่าวในรอบ 22 ปี และถือเป็นคลื่นความร้อนที่มาเร็วผิดปกติ เพราะปกติฤดูร้อนของสหรัฐฯ จะเริ่มในเดือนมิถุนายน
คลื่นความร้อนนี้ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจนำไปสู่ไฟดับหรือระบบไฟฟ้าล่ม หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม การมาถึงของอากาศร้อนที่เร็วผิดปกติยังเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนถึงความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสภาพอากาศ และชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคที่เคยร้อนก็อาจเผชิญกับภาวะที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้ง 3 เหตุการณ์นี้ ได้แก่น้ำท่วม,ไฟป่า, และคลื่นความร้อน ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์แยกขาดจากกัน แต่มีจุดร่วมคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งน้ำท่วมที่เกิดจากฝนตกหนักผิดปกติ ไฟป่าที่ลุกลามจากความแห้งแล้ง และคลื่นความร้อนที่มาเร็วกว่าฤดูกาลปกติ
หากไม่มีมาตรการปรับตัวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง เหตุการณ์เช่นนี้จะกลายเป็น “ความปกติใหม่” ที่มนุษยชาติต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง
การจัดการและวางแผนทั้งเชิงโครงสร้างและนโยบายในระดับท้องถิ่น รัฐ และประเทศ คือทางรอดจากวิกฤตที่กำลังจะไม่ใช่แค่ “ภัยธรรมชาติ” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “ภัยถาวร” ของมนุษย์ในศตวรรษนี้