รีเซต

ศุภาลัย' บุกหนักลุย 34 โครงการ 4 หมื่นล. ผุด 5 แบรนด์ใหม่เจาะบ้านหรู ชี้เงินเฟ้อดันราคาบ้านพุ่ง2%

ศุภาลัย' บุกหนักลุย 34 โครงการ 4 หมื่นล. ผุด 5 แบรนด์ใหม่เจาะบ้านหรู ชี้เงินเฟ้อดันราคาบ้านพุ่ง2%
มติชน
24 มกราคม 2565 ( 19:08 )
210
ศุภาลัย' บุกหนักลุย 34 โครงการ 4 หมื่นล. ผุด 5 แบรนด์ใหม่เจาะบ้านหรู ชี้เงินเฟ้อดันราคาบ้านพุ่ง2%

ข่าววันนี้ 24 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้บริหารบริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) โดยนายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหารและนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ เปิดแถลงถึงผลการดำเนินงานในปี 2564 และแผนงานธุรกิจในปี 2565

 

ปี’64 เปิดตัวโครงการน้อยสุดรอบ 10 ปี

นายประทีปกล่าวว่า ในปี2564 ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จากข้อมูลของบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) แนวราบและคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่น้อยสุดในรอบ 10 ปี แต่ยอดขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 โดยแนวราบคิดเป็นสัดส่วน 62% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนโควิด ส่วนคอนคอนโดมิเนียมยังคงที่ มียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 38%

 

สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยจากปีที่แล้วต่อเนื่องจากปีนี้ จะขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรที่คนเกิดใหม่น้อย คนสูงอายุสูงขึ้น ทำให้ที่อยู่อาศัยเพิ่มได้อย่างจำกัด ,รายได้ของคน กลุ่มรายได้ปานกลาง-ค่อนข้างสูงไม่มีปัญหาการซื้อ แต่กลุ่มรายได้ปานกลาง-ค่อนข้างน้อยและธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีรายได้ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ จะถูกปฎิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ,ราคาที่ดินสูง ,ค่าก่อสร้างสูงขึ้น เช่น เหล็กเพิ่มขึ้นกว่า30% รวมถึงค่าขนส่ง ทำให้คนซื้อบ้านแพงขึ้น นอกจากบริษัทที่ซื้อที่ดินไว้นานแล้วจะพยายามขายในราคาต้นทุนเดิมได้ แต่ตลาดยังมีปัจจัยบวกจากเงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ส่งเสริมให้คนมาซื้ออสังหาฯง่ายขึ้น

 

เทรนด์พัฒนาแนวราบ-แนวสูงเปลี่ยนไป

“จากปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เห็นการออกแบบที่อยู่อาศัยให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น เช่น บ้านจัดสรรจะเห็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น 4 ชั้น มากขึ้น แต่ราคาจะสูงขึ้น ส่วนคอนโดฯในเมือง มีข้อจำกัดด้านกฎหมาย เช่น ผังเมือง การควบคุมก่อสร้าง สิ่งแวดล้อม ทำให้คอนโดฯสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางหายาก หากจะทำต้องไปทำเลปริมณฑล ทำให้การพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรออกไปหัวเมืองและขายดี บวกกับรสนิยม การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป เมื่อมีซัพพลายคนมีทางเลือกก็เลือกซื้อ ราคาถูกกว่ากรุงเทพฯ และมีดีมานด์ แต่ก็ไม่ง่าย เพราะเป็นทำเลปราบเซียนเหมือนกัน”

 

 

นายประทีปกล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนไปเช่นกันจะเริ่มเห็นบ้านจัดสรรออกแบบเป็นสไตล์บ้านตากอากาศมากขึ้น ในทำเลที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น หัวหิน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ คือ ซื้อบ้านหลังเดียวเหมือนได้ 2 หลังได้ทั้งบ้านอยู่จริงและบ้านตากอากาศ ส่วนคอนโดฯจะเรื่องที่จอดรถเป็นตัวแปรสำคัญใน 5 ปี จะออกแบบให้มีที่จอดรถน้อยลง จากรถไฟฟ้า และรถยนต์ไฟฟ้า

 

ยอดขายกทม.ลด ตจว.-ตปท.พุ่ง

ปัจจุบันบริษัทมีโครงการทั้งหมด 193 โครงการ ใน 24 จังหวัดรวมกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนา 159 โครงการ แบ่งเป็นต่างจังหวัด 18 โครงการ กรุงเทพฯเป็นบ้านจัดสรร 13 โครงการและคอนโดฯ 13 โครงกการ มีเปิดใหม่ 2 โครงการ ส่วนต่างจังหวัดมี 1 โครงการ

 

ด้านยอดขายรวมในปี 2564 อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท โดยยอดขายกรุงเทพฯลดลง เพราะดีมานด์ลดลง คนเก็งกำไรหายไป ซื้อให้เช่าก็หายไปและคนต่างประเทศมาซื้อไม่ได้ จะใกล้เคียงกับต่างจังหวัด ส่วนแนวราบในกรุงเทพฯยอดขายเพิ่มชัดเจนจาก 1,000 กว่าล้านบาท เป็นเกือบ 10,000 ล้านบาท ส่วนต่างจังหวัดจาก 8,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 9,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายในประเทศออสเตรเลีย มี 11 โครงการ จะลงทุนเพิ่มเป็น 13 โครงการ ในปีที่แล้วมียอดขายเทียบเฉพาะในส่วนจอยต์เวนเจอร์ประมาณ 8,000 ล้านบาท เกือบ 1 ใน 4 ของยอดรวม

 

ปี’65 ศุภาลัย เปลี่ยนแปลงใหญ่

“ปีนี้ศุภาลัยเปลี่ยนแปลงใหญ่ คือ เน้นเทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ชีวิตสมัยใหม่มากขึ้น มีแบบบ้านใหม่หลาย 100 แบบ เพิ่มแบบบ้าน 3-4 ชั้น และบ้านตากอากาศ พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ เพิ่มบ้านราคาแพงราคา 20 -100 ล้าน เพิ่มโครงการบ้านตากอากาศทำตลาดใน 5 จังหวัด มีลำพูน นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา หัวหิน นครปฐม ตั้งเป้าจะให้ครบ 30 จังหวัดใน 2-3 ปี และลงทุนต่างประเทศเพิ่ม เพราะมีหลายอย่างเป็นข้อดีกว่าไทย เช่น เสถียรภาพการเมือง เศรษฐกิจ เพื่อกระจายความเสี่ยง จะไปในประเทศอาเซียน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม” นายประทีปกล่าว

 

เปิดตัวใหม่ 34 โครงการ 4 หมื่นล้าน

ด้านนายไตรเตชะ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯในประเทศ ในปี 2564 เป็นอีกปีที่ยากลำบาก มีโควิด-19 ที่เป็นภาพลบต่อธุรกิจอสังหาฯและเศรษฐกิจโดยรวม แต่ภาพรวมตลาดยอดขายเติบโตได้เล็กน้อย เป็นแนวราบเป็นหลัก ส่วนคอนโดฯ เติบโตไม่มาก คาดหวังปี 2565 เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น รวมถึงตลาดอสังหาฯจะมียอดขายดีขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าจะมียอดขาย 27,000 ล้านบาท เปิดตัว 30 โครงการใหม่ 34,000 ล้านบาท เป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท คาดหวังจะเป็นปีที่โอนกรรมสิทธิ์ได้มาก เพราะมีสินค้ารอโอนอยู่มาก แต่เปิดได้จริง 23 โครงการ มูลค่า 24,790 ล้านบาท เป็นแนวราบในกรุงเทพฯ 47% ต่างจังหวัด 46% มีคอนโดฯในกรุงเทพฯ 1 โครการและต่างจังหวัด 1 โครงการ ต้องเลื่อนคอนโดและแนวราบบางโครงการมาเปิดปี 2565

 

 

“ปีที่แล้วยอดขายในกรุงเทพฯประมาณ 24,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า เพราะเปิดโครงการไม่ครบ คอนโดฯมีอุปสรรค ลูกค้ายังไม่ซื้อโครงการใหม่ คอนโดฯพร้อมขายพร้อมโอนไปได้ แต่แนวราบขายดีทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด มองว่าปีนี้กำลังซื้อจะกลับมา แนวราบเป็นบวก คอนโดฯจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เรามีจุดแข็งการเงิน ทำให้เราแข็งแรงในสภาวะเศรษฐกิจไม่แน่ไม่นอนใน 2 ปีที่ผ่านมา”

 

ซื้อที่ดิน 8 พันล้านลุยแนวราบ ไม่ทิ้งคอนโดฯ

นายไตรเตชะกล่าวอีกว่า ในปี 2565 ตั้งเป้าเปิด 34 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท จะเปิดตัวเพิ่มขึ้น 61% และกระจาย แยกเป็นต่างจังหวัด 18 โครงการ และกรุงเทพฯ 13 โครงการ มีคอนโด 2 โครงการในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 1 โครงการ มียอดขาย 28,000 ล้านบาท รายได้ 29,000 ล้านบาท และซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท

 

“ปีนี้จะรุกแนวราบมากขึ้น คอนโดฯยังเปิดตัว เรายังไม่ได้ทิ้งตลาดคอนโดฯ แม้ 2-3 ปีจะลดระดับชัดเจน เพราะลูกค้าต่างชาติหายไปจากตลาด แต่ถ้าเติมซัพพลายในตลาดไม่มาก ใน 2-3 ปีตลาดดูดซัพพลายไป จะยังไปได้ และเป็นตลาดที่ศุภาลัยถนัดอยู่แล้ว”

 

ผุดบ้านหรู 5 แบรนด์ใหม่

นายไตรเตชะกล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทจะมีโครงการแนวราบ 5 แบรนด์ใหม่ทำตลาดในปีนี้ ได้แก่ ศุภาลัยทัสคานี เชียงใหม่ ,ศุภาลัย เอเลแกรนซ์ บรมราชชนนี 121, ศุภาลัย เลค แอนด์ พาร์ค อุดรธานี ,ศุภาลัย เลค วิลล์ ภูเก็ต, ศุภาลัย แกรนด์ วิลล์ เชียงราย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามีหลากหลายมากขึ้น เช่น ต้องการบ้านมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น

 

“โครงการไอไลต์ ศุภาลัย เอเลแกรนซ์ บรมราชชนนี 121 เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์นผสมคลาสสิค ระดับลักชัวรี่ มีพื้นที่ 34 ไร่ จำนวน 86 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 100 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยกว่า 300 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาเริ่มต้น 20-30 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้านักธุรกิจรุ่นใหม่อายุ 31-45 ปี”

 

โอมิครอนกระทบระยะสั้น เงินเฟ้อดันราคาบ้านพุ่ง

นายไตรเตชะยังประเมินสถานการณ์โอมิครอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่บ้างระยะสั้น เนื่องจากบ้านเป็นปัจจัยสี่ยังมีความต้องการอยู่ ส่วนเงินเฟ้อจะส่งผลต่อค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ในปีนี้เพิ่มจากปีที่แล้ว 3-4% จะเห็นการปรับราคาบ้านเพิ่มขึ้น 2% สำหรับบ้านที่สร้างใหม่ในอนาคต ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนวัสดุบางชนิดมาทดแทนเพื่อเป็นการยืดหยุ่นให้ได้ราคาบ้านที่สมเหตุสมผล แต่ช่วงนี้เป็นนาทีทองลูกค้าจะซื้อบ้าน เพราะดอกเบี้ยต่ำ ปลดล็อกมาตรการแอลทีวี ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ยังได้บ้านในราคาเดิมในครึ่งปีนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง