รีเซต

ส.นักวิเคราะห์ เผยโบรกฯ คาดสิ้นปี 2566 ดัชนีอยู่ที่ 1,741 จุด แนะ 5 หุ้นเด่น

ส.นักวิเคราะห์ เผยโบรกฯ คาดสิ้นปี 2566 ดัชนีอยู่ที่ 1,741 จุด แนะ 5 หุ้นเด่น
ทันหุ้น
4 มกราคม 2566 ( 13:20 )
69
ส.นักวิเคราะห์ เผยโบรกฯ คาดสิ้นปี 2566 ดัชนีอยู่ที่ 1,741 จุด แนะ 5 หุ้นเด่น

#ทันหุ้น-นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนปี 2566 สรุปได้ดังนี้สมมติฐานหลัก มีการปรับลดราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 98.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น 87.22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลและคาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทย ปี 66 ที่ 3.60%

     

ทิศทางการลงทุนในปี 2566 นี้ จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ เศรษฐกิจภายในประเทศ โดยมีผู้โหวตถึง 96.15% และผลประกอบการ บจ.ปี 66 มีผู้โหวต 80.77% ตามมาด้วย Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย มีผู้โหวต 76.92% และปัจจัยการเมืองในประเทศ มีผู้โหวต 73.08%

     

ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจาก ปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวตมากถึง 88.46% รองลงมาคือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้โหวต 62.96% และ ตามติดมาด้วย ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้โหวต 53.85%

     

ปัจจัยที่ควรจับตามองที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาสแรก ผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่าการกลับมาเปิดประเทศของจีน และการเลือกตั้งภายในประเทศ   

 

**คาดกนง.ขึ้นดบ. 0.50% 

  

 ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในปี 2566 นักวิเคราะห์ทุกสำนักคาดว่ามีการปรับขึ้น โดย 46.15% คาดว่าจะปรับขึ้น 0.50% รองลงมามี 42.31% มองว่าปรับขึ้น 0.75% ส่วนที่เหลือมีผู้ตอบ 7.69% ที่มองว่าจะปรับขึ้น 0.25% และมี 3.85% ที่มองว่าปรับขึ้น 1% หรือมากกว่า ตามลำดับ 

 

**มองดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 1,741 จุด 

 

ส่วนทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ของตลาดเฉลี่ยที่ 105.34 บาท เพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 100.36 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์  EPS Growth ของปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 7.06

 

ทางด้าน คาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ถูกคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 โดยจะปิด สิ้นไตรมาสแรกที่ 1694 จุด และเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ  1554 ถึง 1773 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2566 จะปิดที่ 1741 จุด

 

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

• เงินสดและเงินฝากระยะสั้น           12%

• กองทุนตราสารหนี้                        20.12%

• หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย            28.52%

• หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ       23.60%

• กองทุนอสังหาฯหรือ REIT               7.52%

• ทองคำหรือกองทุนทองคำ               7.92%

• อื่นๆ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน น้ำมัน  0.32%

       

โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ / กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นจีน และเวียดนาม จากการเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาปกติอีกครั้ง

 

**แนะนำ 5 หุ้นเด่น 

 

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้  (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

 

1. ADVANC เป็นหุ้น Defensive ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอราว 4% ต่อปี และประมาณการณ์กำไรมี Upside จากการต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจการเงิน คือ Virtual Bank

 

2. AOT  มองว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัว

 

3. BBL โดยมองว่าได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นธนาคารที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ภาคธุรกิจ

 

4. COM7  ปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยที่สูงขึ้น 2) การครอบครองมือถือ 5G ที่สูงขึ้น และ 3) เดินหน้าขยายสาขา 150 แห่งตามแผนต่อเนื่อง (ปี 2022 ขยายไปแล้ว 113 สาขา)

 

5. CPALL ปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคฟื้นตัวต่อรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หนุนการขยายตัวของ Same Store Sales Growth (SSSG)

 

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังพรรคการเมืองเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ถัดมา นโยบายที่เพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ได้แก่ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ชะลอการเก็บภาษีหุ้น อีกทั้งพัฒนาฝีมือแรงงาน / ระบบการศึกษาไทย และตามมาด้วย การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุน สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ขยายตลาดส่งออก

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง