เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

ทันหุ้น - บล.เคทีบีเอสที คาดดัชนีฯ rebound ตามตลาดต่างประเทศ ที่ลดความกังวลต่อการระบาดของ “Omicron” ...“Omicron” ทำให้ตลาดตกใจมาตั้งแต่วันศุกร์ (26) ส่งผลให้นักลงทุนเลี่ยงความเสี่ยงเข้าถิอสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า เช่น พันธบัตรและทองคำ แม้ราคาสินทรัพย์ทั้งสองตัวจะยังสูงในคืนที่ผ่านมา เป็นเพราะนักลงทุนยังไม่สามารถประเมินได้ว่าความรุนแรงของไวรัสตัวนี้จะไปถึงขนาดไหน แต่ข่าวที่ตลาดมองในทางบวก คือ Moderna ออกข่าวว่าสามารถพัฒนาวัคซีน สำหรับไวรัสตัวนี้ภายใน 3 เดือน
ขณะที่สหรัฐฯ ประธานาธิบดี Biden ออกมาแถลงว่าจะยังไม่มีการ lockdown ฝ่ายวิจัยตีความในเรื่องการระบาดของ Omicron ว่า แนวโน้มยังไม่ชัดเจน แต่ข้อมูลเบื้องต้นที่ว่าอาการของผู้ติดเขื้อไม่รุนแรงเท่าตัวก่อนหน้านี้ จะทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่คลายความกังวลลง และทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้น เพียงแต่หุ้นที่เกี่ยวข้องทางตรง อาทิ หุ้นท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวหลังหุ้นกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้อทางตรง
ประธาน Fed ได้กล่าวสุนทรพจน์ไปเมื่อคืนในงานของ Fed สาขานิวยอร์ค ว่า Fed มีความกังวลต่อการระบาดของ Omicron ในครั้งนี้ เรามองว่า การพูดลักษณะนี้ จะทำให้โอกาสในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยหรือลด QE ตามที่เคยมีข่าวออกมา จะชะลอออกไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีของตลาด
ทิศทางราคาน้ำมันดิบ จะต้องรอการประชุม OPEC+ ที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้(1) ที่เราดูข่าวในตลาด ไม่มีการพูดอย่างชัดเจนว่า จะพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าแผนที่วางไว้ (+0.4 ล้านบาร์เรล/วัน) อย่างไรก็ตาม ทิศทางราคาน้ำมันดิบ นั้นไปอิงกับการระบาดรอบใหม่มากกว่า
ตัวแปรในประเทศ วันนี้ จะมีการประชุม ครม. คาดจะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษกิจ ที่กำลังดำเนินการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญวันนี้ ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหรรมของไทย (คาด +1.6% YoY) รายงานภาวะเศรษฐกิจรายเดือน โดยธปท. และ MSI Rebalance หุ้นเข้า MSCI Small Cap คือ BEC, TIPH, TIDLOR และหุ้นออกจากการคำนวณดัชนีฯ คือ TKN
Strategy
การที่ตลาดต่างประเทศดี เพราะสถานการณ์การระบาดอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ทำให้ตลาดหุ้นช่วงสั้นน่าจะมีการ rebound กลยุทธ์ลงทุน เรายังมองว่าโอกาสที่ตลาดจะกลับขึ้นมาได้ มีมากกว่าที่จะลงต่อ เพียงแต่นักลงทุนต้องคอย update ข่าวอยู่ตลอดเวลา หุ้นที่ควรซื้อกลับน่าจะเป็นหุ้นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางตรงกับการระบาด (เช่น ท่องเที่ยว+สายการบิน) พอร์ตหุ้นวันนี้ เราถือหุ้นที่มีในพอร์ตทั้งหมดต่อ หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย SECURE*(15%), RS(15%), FORTH(15%), KTB(15%), CRC(15%), LEO(15%)
Strategy Stock Pick
SECURE*: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 32.50 บาท) “หุ้นใน Mega Trend ของปี 22 คาดงานแน่น ลุ้น M&A”
• คาดรายได้ปี 22 โตเด่น Trend ความปลอดภัยในระบบทั้ง Online และ Offline เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกองค์กรกำลังลงทุน หนุน Backlog โตต่อ
• บริษัทอยู่ระหว่างการเจรเพื่อทำ M&A ขยายสรรพกำลังในการรับงาน ส่วน 4Q21-1Q21 รายได้จะโตเด่นหลังบริษัทต้องเลื่อนการส่งมอบเพราะโควิด
Technical : RCL, WINMED
**บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index มีโอกาสเกิด Technical Rebound ระยะสั้นหลังปรับตัวลง 2 วันเกือบ 60 จุดหรือราว 3.6% และยืนใกล้บริเวณแนวรับหลัก 1,590 จุด ขณะที่บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกคลายกังวลโอไมครอนขึ้นบ้าง ทำให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง
อย่างไรก็ตามคาดว่าการฟื้นตัวยังไม่ไกลมากนัก ประเมินแนวต้านระยะสั้น 1,600-1,610 จุด โดยคาดตลาดยังรอติดตามข้อมูลขอโอไมครอนเพิ่มเติมทั้งความรุนแรง ความรวดเร็วในการระบาด และประสิทธิผลของวัคซีนในปัจจุบัน ทำให้หุ้นในกลุ่ม Reopening Play คาดยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก กลยุทธ์ระยะสั้นฝ่ายวิจัยจึงเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดหากเกิดการระบาดระลอกใหม่ทั่วโลก ได้แก่ การแพทย์ ส่งออก โลจิสติกส์ เทคโนโลยี ส่วนที่แนะนำให้สะสมเพิ่มบริเวณ 1,590-1,600 จุดแนะนำถือต่อเนื่อง และมองระดับถัดไปในการเข้าสะสมที่ 1,550-1,570 จุด
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่กระทบจาก COVID-19 จำกัดหากระบาดระลอกใหม่หุ้น
เด่นเดือนพ.ย. : CHG, FSMART, GPSC, JWD, KCE
หุ้นเด่นวันนี้ : SYNEX
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34 บาท
• แนวโน้ม 4Q21 จะเติบโตแข็งแกร่งทั้ง Q-Q และ Y-Y มีลุ้นทำ Record High จากการเข้า High Season รวมถึงได้อานิสงส์จาก iPhone13 ที่เริ่มขายในไทยเร็วกว่าปีก่อนถึงเกือบ 2 เดือน
• เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์หากเกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่จาก WFH และ LFM แต่หากไม่มีการระบาดทิศทางกำไรก็ยังเป็นขาขึ้นและได้ประโยชน์ระยะยาวจากเทรนด์ Digital และ Metaverse
• แนวรับ 27.25-27.75 บาท แนวต้าน 29-30 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลเข้าภูมิภาค US$344 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$323 ล้านและ US$235 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลออกค่อนข้างหนาแน่นนำโดยไทยและอินโดนีเซีย US$130 ล้านและ US$82 ล้าน ตามลำดับ แนวโน้มของกระแสเงินทุนมีโอกาสไหลเข้าต่อเนื่องจากเม็ดเงินที่กลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามยังคงจับตาโควิดโมไมครอนว่าจะระบาดรุนแรงขึ้นหรือไม่ประเด็นสำคัญวันนี้
**บล.คิงส์ฟอร์ด ดัชนี SET วันนี้โอกาสฟื้นตัว หลังฐานลงปรับปัจจัยเสี่ยงและอยู่ระหว่างผลศึกษาของไวรัส Omicron วางแนวรับที่ 1,580แนวต้าน 1,608 – 1,617 หากเทียบเคียงกรณีไทยล็อกดาวน์ช่วง ม.ค., เม.ย. 64 ดัชนี SET ลดลงราว -7 % โดยใช้เวลาเฉลี่ย 10 วันสามารถฟื้นตัวสู่ระดับเดิม แนะนำซื้อ KBANK, SCB, BCH,SMD, SYNEX, SIS, RCLเก็งกำไร U
แนะ SIS* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 42.50 บาท) ผลประกอบการ 3Q64 กำไรสุทธิ 215 ล้านบาท +40%YoY ขณะที่ 4Q64 ยังมีโอกาสเติบโตเพราะเป็น Season ของธุรกิจ ด้านแนวโน้มผลประกอบการปี 65 คาดเติบโต 10-15%YoY จากความต้องการใช้สินค้า IT ที่อยู่ในระดับสูง เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี 5G และ Cloud Service ไปสู่ New Normal ในการทำงาน Work from Home แบบผสมผสาน บวกกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT Data Center และ Cybersecurity ของทั้งภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อรายได้ทั้งในส่วนของ Mobile ที่เป็นตัวแทน Xiaomi และกลุ่ม Consumer & Commercial
แนะ CHG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 4.26 บาท) หนึ่งในหุ้นที่รับความเสี่ยงได้ดีจากปัจจัย Covid-19 กำไรสุทธิในช่วง 3Q64 อยู่ที่ 1,564 ลบ. +455.01%YoY, +171.41%QoQ สำหรับแนวโน้ม 4Q64 เราคาดว่าจะเป็นภาพของการอ่อนตัว QoQ จากรายได้ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ Covid-19 ที่ลดลง แต่จะยังคงเห็นการเติบโตได้ YoY ขณะที่การดำเนินงานช่วงถัดไปยังมีความน่าสนใจ จากปัจจัยหนุนจากธุรกิจการรับจ้างบริหารโรงพยาบาล(ปัจจุบันมี 2 แห่ง ร.พ.เมืองพัทยา และศูนย์แพทย์ชุมชนเกาะล้าน เมืองพัทยา) การรับผู้ป่วยโรคหัวใจจากร.พ.อื่น(ศูนย์หัวใจสิริธร 2Q64, ร.พ.สมุทรปราการ 4Q64, ร.พ.ระยอง 1Q65) และการเปิดโรงพยาบาลใหม่โดยเฉพาะที่เป็นศูนย์เฉพาะทาง(คาดรพ.จุฬารัตน์ แม่สอด และ ศูนย์มะเร็งสุวรรณภมิ จะเปิดราวปี65-66)