รีเซต

วัดใจรัฐบาลใหม่ผลักดันไทยศูนย์กลางการเงิน

วัดใจรัฐบาลใหม่ผลักดันไทยศูนย์กลางการเงิน
TNN ช่อง16
11 กันยายน 2568 ( 14:18 )
8

การผลักดันไทยเป็น Financial Hub หรือศูนย์กลางการเงินภูมิภาค ต้องมีกฎหมายรองรับ คือร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน กฎหมายนี้ถูกผลักดันขึ้นมาเพื่อยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินในระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนจากบริษัทการเงินระดับโลก

กฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาของรัฐบาลเพื่อไทยไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 และขณะนี้มีสถานะ รอบรรจุเป็นวาระเข้าสภา 

ตามวิธีปฏิบัติ หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือยุบสภาฯ กฎหมายที่ยังค้างการพิจารณาต้องส่งมายังหน่วยงานที่เสนอ  เพื่อให้ยืนยันไปอีกรอบว่าจะเดินหน้าหรือไม่ 

การตีกลับกฎหมาย ต้องเริ่มกระบวนการพิจารณาใหม่ระหว่างรัฐมนตรีและข้าราชการอีกรอบ หากรัฐบาลใหม่ไม่เห็นชอบ กฎหมายถูกตีตกไป แต่หากเห็นชอบอาจต้องปรับแก้ ต้องเสนอครม.ใหม่ ถ้าปรับแก้เสร็จจึงเสนอไปสภาฯ ให้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตามปกติในการพิจารณากฎหมายใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี จึงจะผ่านสภาฯ ออกมาใช้

เป็นที่ทราบกันว่าอายุของรัฐบาลชุดนี้จะเหลืออยู่เพียงไม่กี่เดือน ดังนั้นจึงเป็นไปได้น้อยที่จะมีกฎหมายผ่านสภาฯ ในช่วงรัฐบาลนี้

 ร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน  ถูกผลักดันโดยกระทรวงการคลังร่วมกันกับภาคการเงิน ที่มองว่า การพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Financial Hub เป็นโอกาสในการดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้าลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาสังคมและทรัพยากรบุคคลในประเทศ ซึ่งประกอบด้วย 

1) สนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ส่งผลให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีได้เพิ่มขึ้น 

2) สร้างการพัฒนาธุรกิจทางการเงินในประเทศไทย และจำนวนตำแหน่งงานด้านการเงินเพิ่มมากขึ้น โดยครอบคลุมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนด้านการเงิน นอกจากนี้ ยังดึงดูดแรงงานที่มีทักษะด้านการเงินจากต่างประเทศให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยจะส่งผลให้เกิดการถ่ายทอดทักษะองค์ความรู้ และเทคโนโลยี (Knowledge Transfer) ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินในประเทศไทย 

3) เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน (Financial Infrastructure Development) และด้านอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดการลงทุนและการจ้างงาน รวมทั้งผลักดันให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต

ไทยต้องการดึงดูดนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท ได้แก่

1) ธุรกิจธนาคารพาณิชย์

2) ธุรกิจบริการการชำระเงิน

3) ธุรกิจหลักทรัพย์

4) ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

5) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

6) ธุรกิจประกันภัย

7) ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ

8) ธุรกิจทางการเงิน

การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและเพิ่มศักยภาพให้แก่แรงงานของประเทศไทยในอนาคต 

ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว มีจำนวน 9 หมวด 94 มาตรา โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย 

- การกำหนดวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้และนิยามทางกฎหมาย 

- องค์ประกอบ คุณสมบัติ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน

- การจัดตั้งและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-stop Authority: OSA) 

- คุณสมบัติ ขั้นตอนการสรรหา วิธีการแต่งตั้ง และอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการที่จะเข้ามาบริหารสำนักงาน

- ประเภทและขอบเขตของธุรกิจที่สามารถขอรับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจ 

- แนวทางในการกำหนดสถานที่ตั้งเพื่อประกอบกิจการ

- คุณลักษณะของนิติบุคคลที่ประสงค์จะยื่นคำขอประกอบธุรกิจ รวมทั้งหลักเกณฑ์ในการควบ โอน และเลิกกิจการของผู้ประกอบธุรกิจ

- สิทธิประโยชน์ที่ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ

 - แนวทางในการกำกับดูแลและการตรวจสอบธุรกิจ

- บทกำหนดโทษสำหรับผู้ประกอบธุรกิจในโครงการ Financial Hub

ถ้าไปการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของไทย พบว่า อันดับของไทยถดถอยไปทุกปี ตรงนี้อ้างอิงการจัดอันดับ Global Financial Centres Index (GFCI) เป็นดัชนีที่จัดอันดับศูนย์กลางทางการเงินทั่วโลก ปีละ 2 ครั้ง พบว่า กรุงเทพฯ ประเทศไทย มีอันดับที่ต่ำลงเรื่อย ๆ 

ในดัชนี GFCI   ฉบับที่  34 พบว่าไทยอยู่ในอันดับ 86 ของโลก

ส่วนดัชนี GFCI ฉบับที่ 35 อันดับหล่นไปอยู่ที่อันดับ 93 ของโลก

ดัชนี GFCI ฉบับที่ 36 ยังหล่นไปอีกอยู่ที่ 95 ของโลก

ล่าสุดดัชนี GFCI ฉบับที่ 37 ที่เพิ่งประกาศไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ พบว่าอยู่ในอันดับ 96 ของโลก

รายงานฉบับนี้ประเมินคุณสมบัติต่างๆ ที่ทำให้เมืองหนึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เช่น การมีสถาบันการเงินหลากหลาย, โครงสร้างพื้นฐานที่ดี, ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน, กฎหมายที่เอื้ออำนวย, เทคโนโลยี และความเชื่อมโยงกับประเทศอื่นๆ  

สำหรับข้อมูลนำมาใช้ มาจากข้อมูลเชิงปริมาณจากองค์กรภายนอก เช่น ธนาคารโลก (World Bank), องค์การสหประชาชาติ (United Nations) และ OECD รวมถึงผลสำรวจความคิดเห็นออนไลน์จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมรวม 5,000 ราย

ผบการจัดอันดับล่าสุด นิวยอร์ก ของสหรัฐฯ ครองอันดับ 1 ถือเป็นครองอันดับมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2561  รองลงมาคือ ลอนดอน อังกฤษ ขณะที่ฮ่องกงยังคงรั้งอันดับ 3 นำหน้าสิงคโปร์ อยู่ในอันดับ 4 ขณะที่ซานฟรานซิสโก, ชิคาโก, ลอสแอนเจลิส ของสหรัฐ , เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ของจีน ยังคงอยู่ในอันดับ 5-9 ตามลำดับ ด้านกรุงโซลเกาหลีใต้อยู่ในอันดับ 10 

ที่ผ่านมาอันดับ 1 และ 2 มีการแข่งขันเป็นผู้นำมาโดยตลอด  โดยลอนดอน อังกฤษกำลังพยายามผลักดันมาตรการปฏิรูปที่มุ่งเน้นการเติบโต โดยอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อทวงอันดับ 1 กลับคืนมา 

ต้องรอดูผลการจัดอันดับครั้งที่ 38 คาดว่าจะประกาศในเดือนกันยายนนี้ เพราะศาสตราจารย์ไมเคิล เมเนลลี (Michael Mainelli) ประธาน Z/Yen ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดทำดัชนี GFCI ระบุว่า  ความเชื่อมั่นในศูนย์กลางการเงินระดับจัดดันอับฉบับที่ 37 ยังไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบจากรัฐบาลสหรัฐชุดใหม่อย่างเต็มที่ ซึ่งนโยบายของสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนและมีผลต่ออันดับที่จะประกาศในเร็วๆ นี้ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง