ย้อนเส้นทาง 10 ปีคดีจำนำข้าว ยิ่งลักษณ์ ก่อนศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด 22 พ.ค.นี้

ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษา 22 พ.ค.นี้ วินิจฉัยคดีสินไหม 35,717 ล้านบาทจากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปมละเลยปล่อยให้เกิดการทุจริตในโครงการจำนำข้าว
จุดเริ่มต้นของคดีในศาลฎีกา
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2558 อัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฐานละเว้นไม่ระงับยับยั้งความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว โดยศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องและเริ่มกระบวนการไต่สวนในเดือนมกราคม 2559 รวมทั้งหมด 26 นัด โดยจำเลยเข้าร่วมครบทุกครั้ง
วันที่ 1 สิงหาคม 2560 จำเลยแถลงปิดคดี ยืนยันในความบริสุทธิ์ พร้อมชี้แจงว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับชีวิตเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ
จุดพลิกผันในวันอ่านคำพิพากษา
วันที่ 25 สิงหาคม 2560 ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าว แต่จำเลยไม่ปรากฏตัวต่อศาล โดยมีรายงานว่าหลบหนีออกนอกประเทศล่วงหน้า ศาลจึงมีคำสั่งออกหมายจับ และอ่านคำพิพากษาลับหลัง ตัดสินจำคุก 5 ปี ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนปล่อยให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ
คดีจีทูจี คำพิพากษาที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน
ในวันเดียวกันกับที่ศาลอ่านคำพิพากษาคดียิ่งลักษณ์ คือวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ศาลฎีกาฯ ยังได้อ่านคำพิพากษาในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ “จีทูจี” ซึ่งเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐมนตรีและนักธุรกิจรวม 28 ราย
ศาลพิพากษาจำคุกบุญทรง เตริยาภิรมย์ 42 ปี ภูมิ สาระผล 36 ปี และอภิชาติ จันทร์สกุลพร 48 ปี โดยพิจารณาว่ามีการแอบอ้างบริษัทเอกชนเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน และไม่มีการส่งข้าวออกนอกประเทศจริง ทำให้รัฐสูญเสียรายได้และเกิดความเสียหายต่อระบบตลาดข้าว
คำสั่งเรียกค่าสินไหม และการโต้แย้งในศาลปกครอง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 กระทรวงการคลังภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกคำสั่งที่ 1351/2559 ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717,273,028 บาท
ต่อมา 8 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยร่วมกับนายอนุสรณ์ อมรฉัตร ยื่นฟ้องกลับต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนในความรับผิดโดยตรง และกระบวนการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดไม่เป็นไปตามกฎหมาย
วันที่ 2 เมษายน 2564 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง โดยเห็นว่าเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย และกระบวนการชี้มูลความรับผิดไม่สามารถชี้เฉพาะเจาะจงได้ว่านายกรัฐมนตรีในขณะนั้นต้องรับผิดโดยตรง
นัดชี้ขาดในศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาคดีอุทธรณ์ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 เพื่อตัดสินว่าคำสั่งเรียกค่าสินไหม 35,717 ล้านบาท จะมีผลบังคับใช้หรือไม่ โดยศาลจะพิจารณาจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ชี้ว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนถึงความรับผิดโดยตรงของจำเลย
เบื้องหลังโครงการที่กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์
โครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นนโยบายประชานิยมที่มุ่งช่วยเหลือเกษตรกร โดยรัฐรับซื้อข้าวเปลือกไม่จำกัดปริมาณในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด แต่ระบบการจัดการและกลไกตรวจสอบกลับมีช่องโหว่
ท้ายที่สุด รัฐประสบปัญหาการระบายข้าวในตลาดโลก ทำให้มีข้าวสารคงคลังสะสมจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต ทั้งการปลอมแปลงสัญญาซื้อขายข้าว และการนำข้าวออกจำหน่ายในประเทศภายใต้ข้ออ้างว่าเป็นสัญญาแบบรัฐต่อรัฐ
บทเรียนจากโครงการที่กลายเป็นข้อพิพาทระดับชาติ
กรณีโครงการรับจำนำข้าวเป็นตัวอย่างของนโยบายที่เริ่มต้นด้วยเจตนาเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่กลับขาดกลไกกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม จนกลายเป็นภาระทางการคลังและเปิดช่องให้เกิดการทุจริตเชิงระบบ
นอกจากประเด็นทางเศรษฐกิจแล้ว คดีนี้ยังเปิดคำถามใหญ่ทางนโยบาย ว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองควรรับผิดในระดับใด เมื่อผลของนโยบายสร้างความเสียหายแก่รัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
จับตาคำพิพากษา 22 พฤษภาคม
คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 จะเป็นบทสรุปของคดีที่ยืดเยื้อมานานนับสิบปี และอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการตีความขอบเขตความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารในเชิงนโยบาย
ไม่เพียงแต่จะชี้ขาดกรณีของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศเท่านั้น แต่ยังมีนัยสำคัญต่อการบังคับใช้กฎหมายในการตรวจสอบอำนาจรัฐในอนาคต