คดีเลือก สว. จะไปถึงศาลหรือไม่? จับตาประชุมชี้ชะตา 17 ก.ค.68

จุดเริ่มต้นที่ไม่น่าไว้ใจ
การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาปี 2567 กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการเมือง เมื่อมีรายงานว่าผู้สมัครบางกลุ่มอาจมีพฤติกรรมร่วมมือกันเพื่อล็อกผลคะแนนตั้งแต่ต้น น้ำหนักของข้อสงสัยเพิ่มขึ้นเมื่อพบบัตรเลือกตั้งจำนวนมากมีการเรียงหมายเลขเหมือนกันแทบทุกใบ และคะแนนเสียงในบางพื้นที่กระจุกอยู่ในกลุ่มเดียวกันอย่างผิดปกติ
ผู้สมัครอิสระบางรายให้ข้อมูลกับสื่อและเจ้าหน้าที่ว่า มีการตกลงกันล่วงหน้าระหว่างกลุ่มผู้สมัคร บางคนยอมรับว่าถูกชักชวนให้สมัครโดยมีข้อเสนอเป็นเงิน พร้อมเงื่อนไขว่าเมื่อเข้าสู่การลงคะแนนจะต้องโหวตให้บุคคลที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ดีเอสไอเริ่มขยับ
กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เข้ามารับเรื่องและตรวจสอบอย่างจริงจัง ภายหลังได้รับข้อมูลจากหลายฝ่าย โดยเบื้องต้นพบว่ามีผู้สมัครอย่างน้อย 10 รายที่เข้าข่ายพฤติกรรมน่าสงสัย บางรายถูกกล่าวหาว่าได้รับเงินเพื่อสนับสนุนบุคคลอื่นในการลงคะแนน มากกว่าจะหวังเข้าสู่ตำแหน่งด้วยตัวเอง
คดีนี้อาจไม่ได้จบลงแค่การตรวจสอบจริยธรรม เพราะเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญา เช่น สมคบกันกระทำผิด ฟอกเงิน และทุจริตการเลือกตั้ง หากหลักฐานชัดเจน การดำเนินคดีจะสามารถส่งต่อถึงศาลฎีกาได้
ช่องว่างในระบบ
แม้จะมีหลักฐานบางส่วน แต่คดีนี้ไม่ได้ง่ายต่อการพิสูจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า มีหลายช่องโหว่ในกระบวนการ เช่น ขั้นตอนแนะนำตัวผู้สมัครที่ไม่เปิดโอกาสให้ตรวจสอบได้จริง การนำโพยโหวตเข้าไปในสถานที่เลือกตั้ง และขาดกลไกยืนยันความโปร่งใสระหว่างขั้นตอนการลงคะแนน
นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการฮั้วอาจไม่ได้ลงสมัครด้วยตนเอง ทำให้การเอาผิดตามกฎหมายเลือกตั้งยิ่งซับซ้อนขึ้น เพราะไม่มีตำแหน่งทางการเมืองให้ยึดโยงความรับผิดชอบได้โดยตรง
เส้นตายใกล้เข้ามา
17 กรกฎาคมนี้ เป็นวันที่ทั้งดีเอสไอและ กกต. จะต้องสรุปสำนวนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ หลังจากเลื่อนมาหลายรอบเพราะอยู่ระหว่างการสอบสวนและรวบรวมพยานเพิ่มเติม คณะกรรมการการเลือกตั้งจะประชุมเพื่อลงมติว่า จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาหรือไม่ โดยใช้เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตัดสิน
หากศาลเห็นว่ามีความผิดจริง ผู้ที่เกี่ยวข้องอาจต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที และอาจได้รับโทษทางอาญา รวมถึงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หากกระทบเป็นวงกว้าง อาจส่งผลถึงโครงสร้างวุฒิสภาทั้งระบบ
แรงกระเพื่อมทางการเมือง
แม้ชื่อของผู้สมัครที่ถูกตรวจสอบส่วนใหญ่จะเป็นอิสระ แต่ก็มีรายงานว่า มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอิทธิพลทางการเมืองระดับประเทศอยู่เบื้องหลัง สื่อบางสำนักตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคใหญ่มีบทบาทอย่างมีนัยยะในคดีนี้
คำถามที่สังคมกำลังตั้งคือ ระบบการคัดเลือก สว. ที่ควรเป็นกระบวนการยึดโยงกับความเป็นกลางทางการเมือง กลับกลายเป็นเวทีที่ถูกใช้ต่อรองผลประโยชน์ และหากเรื่องนี้ไม่สามารถเอาผิดได้จริง ผลกระทบจะไม่ใช่แค่คนผิดลอยนวล แต่ความเชื่อมั่นต่อระบบทั้งระบบอาจพังลงตามไปด้วย
ทางออกที่ยังมองไม่เห็น
ไม่ว่าผลการพิจารณาจะออกมาอย่างไร คดีนี้กำลังผลักให้สังคมต้องหันมาทบทวนกระบวนการสรรหา สว. ทั้งระบบ อาจถึงเวลาที่ควรมีการร่างกติกาใหม่ เปิดให้โปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น พร้อมปิดช่องว่างที่เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
