รีเซต

เปิด 6 ปัจจัยเสี่ยงกดดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า! โบรกแนะลงทุนหุ้น Defensive-ปันผลสูง มีตัวไหนบ้าง เช็กเลย?

เปิด 6 ปัจจัยเสี่ยงกดดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า! โบรกแนะลงทุนหุ้น Defensive-ปันผลสูง มีตัวไหนบ้าง เช็กเลย?
TNN ช่อง16
15 พฤศจิกายน 2568 ( 17:07 )
12

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วงหลุด 1,300 จุด ท่ามกลางแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ  หลังจากที่บริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68  เสร็จสิ้น และงบบางบริษัทแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ 

จากนั้นช่วงท้ายดัชนีร่วงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นยุโรป  ตอบรับความกังวลโอกาสปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจจะน้อยลง จากความไม่แน่นอน การกลับมารายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ  ของสหรัฐฯได้ แม้จะยุติการชัตดาวน์แล้วก็ตาม  ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายส่งสัญญาณไม่เร่งลด 3 ดอกเบี้ย ซึ่งทำให้การประชุมรอบถัดไปของเฟดยังไม่มีความชัดเจน 

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศ และปัญหาไทย-กัมพูชาที่ส่อแววปะทุและนำไปสู่ความร้อนแรงหรือไม่ นักลงทุนจะต้องปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไรบ้าง ในวันนี้ TNN Online ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุนจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้น ตามไปส่องกันเลยค่ะ 

เริ่มจาก ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า ตลาดหุ้นไทยจะถูกกดดันจาก 6 ปัจจัยหลัก มาจากประเด็นต่างประเทศ 3 ปัจจัยหลักคือ 1.หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในเดือนนี้ ถูกเทขายทำกำไรอย่างหนัก ทำดัชนีแนชแดคลงมาราว 3.5% ถือว่าเป็นการย่อตัวมากสุดในรอบ 7 เดือน 

2.การประกาศจีดีพีของญี่ปุ่นคาดว่าจะปรับตัวลดลง 0.6% สอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ ที่มองว่าจีดีพีในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ  

3. สภาพคล่องส่วนเกินที่เคยพยุงตลาดหุ้นช่วงที่เหลือของปีอาจจางหายไปช่วงสั้น หลังการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐหรือ Government shutdown  ที่สิ้นสุดลง แต่มีความยาวนาถึง 43 วันสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ กดดันตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมาช้าอาจเป็นตัวเลขที่ไม่แท้จริง และส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยในปลายปีนี้ เนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอในการตัดสินใจ รวมถึงตลาดคาดว่าการประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะไม่ลดดอกเบี้ยในปลายปีนี้ 

ส่วนในประเทศมีประเด็นกดดัน 3 ปัจจัยหลัก 

1.ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาที่ร้อนแรงมีโอกาสปะทุ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยไทยได้ดุลการค้ากัมพูชาประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นดับ 2 รองจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หากย้อนอดีตในช่วงเกิดข้อพิพาทไทย-กัมพูชาก่อนจุดไคลแมกซ์ หรือจุดสูงสุดของความตึงเครียดกินระยะเวลา 1 เดือนกดตลาดหุ้น 8% โดยเฉพาะหลังจากนั้นวันที่ 18 มิ.ย.-28 มิ.ย.ที่นำไปสู่ช่วงสูญญากาศ และการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองหุ้นลง 5% 

2.สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้มาช้า แต่ก็ร้ายแรงมากกว่าปี 54 ในบางพื้นที่ ขณะที่ปริมาณน้ำในเขื่อนที่อยู่ในระดับสูง โดยเขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำ 2,800 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที  ขณะที่เขื่อนภูมิพลน้ำเต็มความจุ 100%  ปริมาตรน้ำ 13,406 ล้านลูกบาศก์เมตร  เขื่อนสิริกิติติ์ ปริมาตรน้ำ 9,309 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 98% โดยน้ำเหนือเขื่อนมากกว่าน้ำใต้เขื่อนทำให้เกิดความกังวลน้ำท่วมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ 

ทั้งนี้หากย้อนอดีตในปี 54 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมจีดีพีไตรมาส 4/54 ติดลบ 4% ดัชนีหุ้นไทยร่วงรุนแรง จาก 1,070 จุด เหลือ 843 จุด ภายในระยะเวลา 2 เดือน กด SET ติดลบ 22%   ดังนั้นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำในปีนี้อย่างใกล้ชิด  

3.จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ชะลอ YoY มา 2 สัปดาห์ติด จากเรื่องกัมพูชา น้ำท่วม หากบานปลาย อาจกดดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงได้ ซึ่งท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 12% ของจีดีพี ถ้าท่องเที่ยวหดตัวจะกดดันจีดีพีในไตรมาส 4/68 ลดลงต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ได้

 

ส่วนการประกาศงบไตรมาส 3/68 ของบริษัทจดทะเบียน 90% หรือประมาณ 539 บริษัท ถือว่าทำผลงานได้ดีกำไรสุทธิ 2.53 แสนล้านบาท เติบโต 32% YOY ลดลง 19%QOQ โดยประเมินกรอบแนวรับสัปดาห์หน้าไว้ที่ 1,250 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,230 จุดแนวต้านที่ 1,290 จุด  ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามคือสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ประกาศจีดีพีไทยไตรมาส 3 คาดว่าโต 1.6% ตัวเลขจีดีพีญี่ปุ่น รายงานเฟดมินิจ และกระทรวงการคลังชงครม.18 พ.ย.นี้ ดันแผนระยะกลาง  เพื่อลดการขาดดุลเหลือ 3% ปี 72

ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้น Defensive Stock แนะนำ

• หุ้น BEM แรงหนุนมาตรการคนละครึ่งพลัสเฟส 1 และเฟส 2 ราคาเป้าหมาย 8.25 บาท 

• หุ้น BDMS  สภาพอากาศที่แปรปรวน ฝนตกและน้ำท่วมทำให้มีคนป่วยเพิ่ม ราคาเป้าหมาย 29 บาท 

หุ้นปันผลสูงเลือก

 หุ้น RATCH คาดปันผล 5.6% ราคาเป้าหมาย 36 บาท 

• หุ้น PTTEP คาดปันผล 6.7% ราคาเป้าหมาย 140  บาท

 

สวนทาง ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่าแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ ประเมินแนวต้านแรกที่  1,317 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,331  จุด แนวรับ แรกที่ 1,289 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,274 จุด แรงหนุนจาก Flow ต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย   หลังจากความเสี่ยงต่างๆทั้งสงครามการค้ามีสัญ ญาณบวก ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ และดอกเบี้ยในประเทศมีโอกาสปรับลง   ผสานกับแนวโน้มการ Upgrade Thai GDP เพิ่มขึ้น  ขณะที่กำไร บจ.ไทย เริ่มเห็นการปรับขึ้นต่อเนื่อง หนุนเงินบาทกลับมาแข็งค่า

โดยประเด็นสำคัญในสัปดาห์หน้าคือ  เงินเฟ้อของสหรัฐในเดือน ต.ค.   ตัวเลขเศรษฐกิจจีน ตัวเลขตลาดบ้านและภาคการผลิต   ส่วนในประเทศใกล้โค้งสุดของรายงานประกาศงบไตรมาส 3/68  ของ บริษัทจดทะเบียนไทย รวมถึงจับตา ครม.ออกมาตรการมาตรการแก้หนี้ช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท ด้วยการจัดตั้ง AMC ให้ซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงิน  หนุนหุ้นกลุ่ม Rate Cut Cycle(การเงิน  เกี่ยวกับมาตรการแก้หนี้ , กลุ่มหนี้สูง) กลุ่ม Deep Value (โรงกลั่น ปิโตรเคมี)

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย

  • 13 พ.ย. รายงานเงินเฟ้อ CPI ต.ค.ของสหรัฐฯ คาด +0.3%m-m, +3.1%y-y  จากเดิมอยู่ที่  +0.3%m-m, +3.0%y-y
  • 14 พ.ย. รายงานดัชนีค้าปลีก ต.ค.-ของสหรัฐฯ
  • 14 พ.ย. รายงาน GDP ไตรมาส 3 ของยุโรป  ครั้งที่สอง คาดว่า +0.2%q-q, +1.3%y-y เท่ารอบก่อน 
  • 14 พ.ย. ติดตามรายงานกิจกรรมเศรษฐกิจจีนเดือน ต.ค. ได้แก่  ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาด +5.5%  จากเดิมอยู่ที่  +6.5%  ดัชนีค้าปลีก คาด +2.8%y-y จากเดิมอยู่ที่  +3.0%y-y และ การลงทุนในสินค้าคงทน คาด -0.9%ytd y-y  
  • ติดตามการประชุม ครม.  

 หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ    

 

  • MTC (TPF58.0): 1 ในหุ้นได้ประโยชน์สูงจากมาตรการแก้หนี้ ให้จัดตั้ง AMC ซื้อหนี้เสีย(NPLs)  ผสานได้กระแสบวกจากดอกเบี้ยขาลง 
  •  KTB  (TPF-30.0) :  1 ในหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการแก้หนี้ จัดตั้ง AMC ซื้อหนี้เสีย (NPLs)  
  •  GULF (TPF-59.0) :  คาดกำไร 4Q25F เติบโต y-y, q-q และกลับไปทำ All time high  

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง