หุ้นไทยส่อแววทรุด ! หลังดัชนีหลุด 1,260 จุด หลบภัยตัวไหนดี?

ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาดีดปรับตัวขึ้น หลังนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มแบงก์ และเทคโนโลยี แม้ว่าตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 ของไทยขยายตัวเพียง 1.2% ชะลอตัว จากไตรมาส 2/68 ขยายตัว 2.8% ถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี แต่ตลาดคาดการณ์ว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 17 ธ.ค.นี้ กนง.อาจจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมนัดสุดท้ายของปีนี้
หลังจากนั้นช่วงท้ายสัปดาห์ดัชนีหุ้นไทยร่วงสอดรับตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนกลับมากังวลประเด็นภาวะฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งกระตุ้นแรงขายทำกำไรหุ้นหลายกลุ่ม นำโดย กลุ่มเทคโนโลยี
นอกจากนี้ตลาดยังประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. เนื่องจากบันทึกประชุมเฟดสะท้อนว่าเจ้าหน้าที่หลายรายเห็นว่า การคงกรอบอัตรา ดอกเบี้ยไว้จนถึงสิ้นปีน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสม ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาค เกษตรเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด
สำหรับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยและเพื่อนบ้างในช่วง 1 พ.ย. -21 พ.ย.พบว่า ตลาดหุ้นอินโดนีเซียซื้อสุทธิ 672 ล้านเหรียญสหรัฐ ดัชนีบวก 2.9 % อินเดียซื้อสุทธิ 380 ล้านเหรียญสหรัฐ ดัชนีบวก 1.3% ฟิลิปปินส์ซื้อสุทธิ 116 ล้านเหรียญสหรัฐ ดัชนีบวก 0.5%
ขณะที่ไต้หวันขายสุทธิ 8.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ดัชนีลบ 6.5% เกาหลีใต้ขายสุทธิ 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ดัชนีลบ 6.1% ไทยขายสุทธิ 253 ล้านเหรียญสหรัฐ ดัชนีลบ 3.7% เวียดนามขายสุทธิ 217 ล้านเหรียญสหรัฐ ดัชนีลบ 0.1% โดยตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้ร่วงแรง เพราะมีการเทขายหุ้นเทคโนโลยีกันเป็นจำนวนมาก
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ได้รับเอฟเฟกต์จากภาวะสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ต่อหรือไม่ และนักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นในต่างประเทศ ขณะที่การเมืองในประเทศก็มีความร้อนแรงเรื่องยุบไม่ยุบสภา ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก "อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล" ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าแกว่งไซด์เวย์ดาวน์ หลังดัชนีเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมาปิดที่ระดับ 1,254.40 จุด ถือว่าทำ low ใหม่ในรอบ 3 เดือน ดังนั้นทางเทคนิคคาดว่าดัชนีจะปรับตัวลงต่อเนื่องบริเวณ 1,220-1,230 จุด เป็นผลมาจากหุ้นเทคโนโลยีในต่างประเทศถูกแรงเทขายอย่างหนัก เนื่องจากราคาหุ้นในตลาดสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงทำให้มีแรงขายออกมา เช่น หุ้น DELTA ที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาลงไปกว่า 7% มีผลต่อ SET 15 จุด
นอกจากนี้ความไม่แน่นอนของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ทำให้นักลงทุนเข้าสู่ในโหมดเลี่ยงการถือสินทรัพย์เสี่ยง
ทั้งนี้เห็นว่าในระหว่างทางถ้ายืนได้แนวต้านแรกที่ 1,280 จุด และแนวต้านถัดไป 1,300 จุด ส่วนปัญหาจีนและญี่ปุ่นเป็นเรื่องเฉพาะของทั้ง 2 ประเทศ แต่ถ้าลุกลามบานปลายกระทบเศรษฐกิจโลกไทยอาจได้ประโยชน์ จะทำให้นักท่องเที่ยวหันมาเที่ยวไทยแทน
“ในช่วงนี้ให้น้ำหนักเรื่องเฟดลดดอกเบี้ยมากกว่า ซึ่งอาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวน และต้องติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ในเดือนต.ค. และเดือนพ.ย. โดยเฉพาะ ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล หรือ PCE แม้ว่าที่ผ่านมาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรดีขึ้น แต่การว่างงานเพิ่มขึ้นทำให้ตลาดมีความคิดเห็นต่างกันและเกิดความสับสนว่า ลดหรือไม่ลดดอกเบี้ย ช่วงที่เหลือก่อนประชุมเฟดจะต้องติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด"
ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเฟดจะไม่ลดดอกเบี้ย เพราะไม่เห็นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชัดเจน ดังนั้นอาจชะลอการปรับลดดอกเบี้ยออกไปก่อน เพื่อรอข้อมูลให้ชัดเจนมากกว่านี้ โดยที่ผ่านมานายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดออกมาบอกก่อนหน้าว่าช่วงนี้หมอกเยอะ อาจจะต้องแตะเบรก และผ่อนคันเร่งไว้ก่อน ซึ่งอาจชะลอลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้
ขณะเดียวกันต้องจับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศว่า "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยจะยุบหรือไม่ยุบสภาฯ ในเดือนธ.ค.นี้หรือไม่ ซึ่งหากยุบสภาฯ จะทำให้นโยบายการทำงานต่าง ๆ ขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งเฟส 2 อาจจะไม่เกิดขึ้น แม้ว่านายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังระบุว่าจะไม่กระทบ แต่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ขึ้นกับฝ่ายค้านว่าจะยื่นซักฟอกรัฐบาลในมาตราไหน ถ้าลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลคาดว่ารัฐยุบสภาฯก่อนกำหนด ถือว่าเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ต่างชาติอาจไม่เข้าใจสถานการณ์การเมืองในประเทศเห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยในเดือนนี้ 8,100 ล้านบาท mtd นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 5,600 ล้านบาท บัญชีบล.ขายสุทธิ 15,000 ล้านบาท ยกเว้นรายย่อยซื้อสุทธิ 1,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดัชนีหลุด 1,280 จุด แนะนำให้นักลงทุน stop loss ถือเงินสดบางส่วน และ wait and see เพื่อดูสถานการณ์ แต่ขณะนี้ดัชนีหลุด 1,260 จุดแล้ว ราคาอาจจะพักฐานต่อ นักลงทุนอาจจะไปรอรับที่ 1,220-1,230 จุด ถ้านักลงทุนที่ยังไม่หุ้นในพอร์ตก็สามารถเข้าซื้อได้ เน้น selective buy หุ้นปันผล หุ้นแนวโน้มกำไรดี ซึ่งทยอยสะสมในช่วงดัชนีขาลง
โดยมีความกังวลว่าตลาดหุ้นโลกอาจจะเข้าสู่ช่วงปรับฐานลง หลังขึ้นมามากแล้ว อาจมีแรงขายต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 17 ธ.ค. คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% เนื่องจากจีดีพีไตรมาส 3/68 แย่กว่าคาด แต่ถ้าไม่ลดครั้งนี้อาจจะลดดอกเบี้ยในครั้งถัดไปในปีหน้า
กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นปันผลแนะนำ
- หุ้นแบงก์ เช่น KTB,TTB,SCB
- หุ้นสื่อสาร ADVANC
- หุ้นอาหาร ICHI
- หุ้นกำไรดี เช่น TFG ,AP , SIRI
ฝั่ง "ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพให้ฟังว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมาผันผวน หุ้นเทคโนโลยีถูกเทขายหนักทำให้ดัชนี Nasdaq ร่วงกว่า 7% หลังจากที่บวกมากว่า 7 เดือน ทำจุดต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่บิตคอยน์ร่วงลงต่ำกว่า 90,000 ดอลลาร์สหรัฐต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับตลาดสินทรัพย์เสี่ยงที่เริ่มดูมีมูลค่าสูงเกินจริง กดหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปรับตัวลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ในสัปดาห์หน้าความผันผวนหุ้นเทคโนโลยียังมีอยู่ แต่ต้องดูข้อมูลตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ว่าทางการสหรัฐฯจะประกาศออกมาหรือไม่ ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจไม่เพียงพออาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดตัดสินใจยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธ.ค.นี้ นอกจากนี้ต้องติดตามการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมัน
ส่วนในไทยนั้น ในวันที่ 24 พ.ย.นี้ 24 พ.ย.นี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเสนอมาตรการ “Fast Pass” เข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เพื่อเร่งปลดล็อกข้อจำกัดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติและโครงการขนาดใหญ่ที่ค้างท่ออยู่ในระบบโดยจากการประเมินเบื้องต้น โครงการขนาดใหญ่กว่า 70 โครงการ ที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท สามารถปลดล็อกให้เดินหน้าได้ทันที ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนใหม่เข้าสู่ระบบอย่างน้อย 300,000 ล้านบาท จากที่ค้างท่อ 470,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ และมีเม็ดเงินเข้ามาช่วงต้นปี 2569
นอกจากนี้ติดตามตัวเลขส่งออกเดือนต.ค.ของไทยจะประกาศในวันที่ 25 พ.ย.นี้ คาดว่าจะโต 6.6% ในอัตราที่ชะลอลงจากเดิมก.ย.โต 19% นำเข้าต.ค.โต 8.7% จากก.ย.โต 17.2%
ส่วนข้อพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ชนวนเหตุจาก “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นตอบคำถามในสภาเรื่องไต้หวัน สร้างความไม่พอใจให้กับจีนจนต้องกำหนดมาตรการต่างๆ ออกมา และยังไม่มีสัญญาณคลี่คลายลงได้ ขณะที่ จีนขู่ว่าจะแบนสินค้านำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น หลังจากที่เคยแบนอาหารทะเลบางส่วนตั้งแต่ ส.ค.66 จากน้ำเสียฟุกุชิมะ และเพิ่งผ่อนปรนให้บางส่วนเมื่อช่วงต้นปี 68 ที่ผ่านมา โดยญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าสำคัญของจีนอยู่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งมีมูลค่าการค้า 3.24 แสนล้านเหรียญ รองจากสหรัฐฯ มากสุดที่ 6.04 แสนล้านเหรียญ
จากเหตุการณ์ในอดีตการเกิดข้อพิพาทจีนกับญี่ปุ่นปี 48 (ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ เรื่อง ปรับแก้ลดทอนความโหดร้ายสมัยสงคราม ในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น) และปี 55 (ความขัดแย้งทางเชิงดินแดน พิพาทเรื่อง ญี่ปุ่นซื้อหมู่เกาะ SENKAKU) ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหันมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น 67%YOY (7เดือน ช่วงก.ย. 48 – เม.ย. 49) และ +134%YOY (5เดือน ช่วงก.ย. 55– ก.พ. 56) ในเชิงราคาคาหุ้น 2 ช่วงที่เกิดเหตุทะเลาะระหว่างจีน-ญี่ปุ่น (ก.ย.48 และ ก.ย.55) ผลตอบแทนหลังจากนั้น 5-7 เดือน SETTOURISM บวกแรงสุดเฉลี่ย +55% ขณะที่ SET บวกเฉลี่ย +12.5%
ทั้งนี้หุ้นที่ได้รับผลดีจากปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว เช่น ERW ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 23% CENTEL ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 88% MINT ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 85% CPN ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 73% อย่างไรก็ตาม มองแนวโน้มหุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังผันผวน แนะปรับพอร์ตการลงทุนถือเงินสด 20-30%
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากข้อพิพาทระหว่างจีนและญี่ปุ่น
- หุ้น ERW ราคาเป้าหมาย 2.90 บาท
- หุ้น CENTEL ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท
- หุ้น MINT ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท
ถ้าจีนแบนนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่นจะส่งผลดีต่อไทย หุ้นที่ได้รับประโยชน์คือ
- CPF ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยจะยุบสภาฯ ก่อนเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ซึ่งปกติหากมีการเปลี่ยนผ่านการเมืองสู่การเลือกตั้งจะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนช่วงสั้น แต่หลังจากเลือกตั้งแล้วเสร็จได้รัฐบาลใหม่ดัชนีหุ้นไทยจะฟื้นตัว โดยในปีหน้านอกจากการเลือกตั้งใหญ่แล้วยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร สำหรับหุ้นสื่อนอกบ้านที่ได้รับผลบวก เช่น BEC , PLANB ,VGI , WORK
อย่างไรก็ตาม หากย้อนดูสถิติตั้งแต่ต้นปี - ปัจจุบัน (YTD) นั้นพบว่า ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกต่างชาติขายสุทธิ 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นเวียดนามขายสุทธิ 4.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นเกาหลีโต้ 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นไต้หวัน 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นไทย 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 1.8 พันล้านเหรียญ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 575 ล้านเหรียญสหรัฐ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
