“พิชัย”จี้รัฐวิสาหกิจ“ลงทุน-เพิ่มกำไรต่อสินทรัพย์”
“พิชัย”จี้รัฐวิสาหกิจ“ลงทุน-เพิ่มกำไรต่อสินทรัพย์” ระบุ สินทรัพย์ 52 แห่งสูงถึง 16 ล้านล้าน แต่มีผลกำไรเพียง 3.7 แสนล้าน ด้านธนาคารโลกแนะกรรมการวางนโยบายเพิ่มความทันสมัยให้รัฐวิสาหกิจ
#ทันหุ้น นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานในงานสัมมนากรรมการรัฐวิสาหกิจเพื่อมอบนโยบายแก่กรรมการรัฐวิสาหกิจและผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจ ภายใต้แนวคิด “ความท้าทาย” ให้เป็น “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาค”
นายพิชัยกล่าวว่า ในปี 2568 เป็นปีที่เต็มไปด้วย “ความท้าทาย” สำหรับรัฐวิสาหกิจทั้ง 52 แห่งจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยรัฐวิสาหกิจทั้ง 52 แห่ง ที่มีทรัพย์สินรวมกว่า 16 ล้านล้านบาท เกือบเท่ากับ GDP ของประเทศในปี 2567 ที่มีมูลค่า 18 ล้านล้านบาท มีหนี้สินรวมกว่า 15 ล้านล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพียง 3.7 แสนล้านบาท ทำให้เห็นได้ว่า รัฐวิสาหกิจไทยควรบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม (Asset optimization) เช่น การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Securitization) การหาแหล่งเงินทุนในรูปแบบของกองทุนรวมโครงสร้าง
พื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TFFIF) หรือการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เป็นต้น
ในปีที่ผ่านมา ธนาคารโลก (World Bank) ได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน(Upper middle income) เช่นเดียวกับปีที่ผ่าน ๆ มา อย่างไรก็ดี ในด้านที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainability)ยังอยู่ในเกณฑ์ที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนา จึงเป็นเรื่องที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจควรมีบทบาทริเริ่มในการวางนโยบาย ด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Coparate Governance : CG) เพื่อตอบสนองต่อการดำเนินงานหรือการพัฒนาที่ทำให้เกิดความยั่งยืนแก่กิจการโดยเน้นการมองไปข้างหน้าว่าการดำเนินงานหรือธุรกิจที่ดำเนินการอยู่มีแนวโน้มที่จะล้าสมัยไปหรือไม่
พร้อมกับริเริ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต (New S-curve) ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงเรื่อง Green Economy ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ในการดำเนินธุรกิจยุคปัจจุบันและต่อไปในอนาคต
ในปีที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจได้ช่วยสนับสนุนนโยบายสำคัญของรัฐบาลในหลายเรื่อง เช่น โครงการบ้านเพื่อคนไทย ที่ริเริ่มขึ้นเพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้เริ่มต้นอาชีพได้มีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเองในทำเลที่ดีเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินชีวิต โครงการคุณสู้ เราช่วย ดำเนินการเพื่อลดปัญหาสังคมเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนและหนี้ของ SMEs
การพัฒนาด้าน Logistics เช่น โครงการรถไฟฟ้าเชื่อมสามสนามบิน โครงการรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น โครงการเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ในระยะยาว
ด้านผู้แทนจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ได้เข้าร่วมสัมมนาเพื่อรายงานผลการประเมินสถานการณ์ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีของไทย (SOE Review) พร้อมทั้งข้อเสนอแนะในการพัฒนาและปรับปรุง
ระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการยกระดับการกำกับดูแล ธรรมาภิบาลและการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD อีกด้วย
นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อ านวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เน้นย้ำถึงความสำคัญของรัฐวิสาหกิจในปีที่ผ่านมาว่าเป็นเครื่องมือสำคัญของภาครัฐที่ช่วยพยุงฐานะทางการคลังของประเทศจาก
“เงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจรวมกว่า 219,000 ล้านบาท จากเป้าหมาย 175,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นกว่า 25% รวมถึงการใช้จ่ายเงินของภาครัฐผ่านการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ 95% เป็นเงินประมาณ 264,000 ล้านบาท จึงขอให้รัฐวิสาหกิจรักษาแรงขับเคลื่อนนี้ไว้
นอกจากนี้ ปัจจุบัน สคร.ได้จัดทำแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG Guideline) ฉบับใหม่ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งนำไปใช้ภายในปี 2568 พร้อมทั้งขอให้กรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจช่วยกันขับเคลื่อนและพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและยกระดับการดำนินงานในด้านต่างๆ ให้เทียบเท่ากับมาตรฐานสากล แบบ “เชิงรุก” พร้อมทั้งคำนึงถึง ”ความยั่งยืน” และ “ยืดหยุ่น” ต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย