รีเซต

"COP30" เดิมพันโลกเดือด ย้ายหนีภัยพิบัติพุ่ง

"COP30" เดิมพันโลกเดือด ย้ายหนีภัยพิบัติพุ่ง
TNN ช่อง16
14 พฤศจิกายน 2568 ( 08:58 )
3

การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สมัยที่ 30 หรือ COP30 ที่เมืองเบเลงของบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายนปีนี้ กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น โดยการประชุมในปีนี้มีความสำคัญในหลายวาระ ทั้งการจัดงานในพื้นที่กลางผืนป่าแอมะซอนที่มีบทบาทต่อระบบนิเวศของโลกใบนี้ รวมถึงการกลับมาจัดประชุมด้านภูมิอากาศที่บราซิลอีกครั้ง หลังจากการลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (UNFCCC) ที่นครริโอเดอจาเนโร เมื่อปี 2535 ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสครบรอบ 10 ปี การประกาศความตกลงปารีส ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

COP30 ยังเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญ ไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม โดยเป็นไปตามแนวทางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่เชื่อเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน และอยู่ระหว่างการถอนตัวจากความตกลงปารีสอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในสมัย 2 ซึ่งจะมีผลวันที่ 27 มกราคม ปี 2569 อย่างไรก็ตาม บทบาทที่หายไปของสหรัฐฯ ก็ทำให้ประเทศอื่น ๆ มีความโดดเด่นมากขึ้น รวมถึงจีนที่ให้การส่งเสริมพลังงานสะอาด อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ข้อมูลจาก “คาร์บอนบรีฟ” (CarbonBrief) ระบุว่า ในครั้งนี้จีนส่งผู้แทนเข้าร่วมมากเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 789 คน เป็นรองเพียงบราซิลในฐานะเจ้าภาพที่มีผู้แทนเข้าร่วมการประชุมมากถึง 3,805 คน และไนจีเรียส่งผู้แทนเข้าร่วมตามมาเป็นอันดับ 3 อยู่ที่ 749 คน

ประเด็นสำคัญในการประชุมครั้งนี้อยู่ที่การเร่งลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ก่อนที่โลกจะไปถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขได้ ในขณะที่ภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ทั้งพายุ น้ำท่วม สภาพอากาศร้อนจัด ภัยแล้ง และไฟป่า ซึ่งเป็นการซ้ำเติมกลุ่มเปราะบางที่ต้องเผชิญความยากลำบากมากขึ้น สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เผยแพร่รายงานล่าสุด “No Escape II – The way forward” ก่อนหน้าการประชุม COP30 โดยระบุว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศทำให้มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศต่าง ๆ ประมาณ 250 ล้านคน หรือคิดเป็นกว่า 67,000 คนต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี นับถึงเมื่อปี 2566

การพลัดถิ่นเหล่านี้มักเกิดขึ้นในพื้นที่เปราะบางและได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง โดยจำนวนประเทศที่รายงานการพลัดถิ่นทั้งจากความขัดแย้งและภัยพิบัติเพิ่มขึ้น 3 เท่า นับตั้งแต่ปี 2552 ยกตัวอย่าง “ชาด” ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัย (refugee) และผู้ขอลี้ภัย (asylum seeker) มากกว่า 1.4 ล้านคน และเป็นหนึ่งในประเทศที่เปราะบางและมีความเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศมากสุดในโลก 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้นและเป็นความท้าทายที่เหล่าผู้พลัดถิ่นต้องเผชิญ โดยนับถึงเดือนมิถุนายนปีนี้ มีผู้พลัดถิ่นกว่า 86 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศในระดับรุนแรง คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 75 หรือ 3 ใน 4 ของผู้พลัดถิ่นจากความขัดแย้งทั้งหมด 117 ล้านคน

รายงานประเมินว่า ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศที่บรรดาผู้พลัดถิ่นต้องเผชิญจะรุนแรงมากขึ้น และมีแนวโน้มจะเกิดการพลัดถิ่นเพิ่มขึ้น ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้นทั้งในแง่จำนวนและความซับซ้อน เนื่องจากโลกกำลังร้อนขึ้น ในขณะที่กลุ่มที่เปราะบางสุดและมีศักยภาพในการปรับตัวน้อยที่สุดจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด

ในปี 2567 ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas concentration) หรือปริมาณของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรทั่วโลกเพิ่มขึ้น 0.2 องศาเซลเซียสภายในเวลาเพียง 1 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้คาดว่าจะใช้เวลาราว 1 ทศวรรษในการเปลี่ยนแปลงระดับเดียวกันนี้ นอกจากนี้ ในปีที่แล้วยังเกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากกว่า 150 ครั้งทั่วโลก ทำลายสถิติเดิมในภูมิภาคต่าง ๆ หากนโยบายด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเท่าเดิมในปัจจุบัน ก็มีโอกาสมากกว่าร้อยละ 60 ที่โลกจะก้าวไปสู่จุดพลิกผันทางภูมิอากาศอย่างน้อย 1 เรื่อง ซึ่งจะนำไปสู่ความเปราะบางและความเสี่ยงใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น

คาดการณ์ว่า ภายในปี 2583 จำนวนประเทศที่เผชิญกับภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงจะเพิ่มขึ้นจาก 3 ประเทศ เป็น 65 ประเทศ ซึ่งประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่รองรับผู้พลัดถิ่นกว่าร้อยละ 45 ของผู้พลัดถิ่นทั้งหมด อาทิ แคเมอรูน ชาด ซูดานใต้ ไนจีเรีย บราซิล อินเดีย และอิรัก ขณะที่ครึ่งหนึ่งของประเทศเหล่านี้กำลังเผชิญกับความเปราะบางหรือความขัดแย้ง

การประชุม COP30 มีประเด็นที่ต้องหารือกันมากมาย หนึ่งในวาระสำคัญคือ แผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แต่ละประเทศจัดทำขึ้นเอง (National Determined Contributions-NDC) ฉบับล่าสุด หรือ NDC เวอร์ชัน 3.0 ที่ครอบคลุมระหว่างปี 2568-2578 เพื่อบรรลุเป้าหมายในการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพราะ หากประเทศต่าง ๆ ยังดำเนินการตามแผนเดิม โดยไม่ยกระดับความพยายามให้จริงจังขึ้น อุณหภูมโลกจะร้อนขึ้น 2.5 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านั้น

การทบทวน NDC จะดำเนินการทุก ๆ 5 ปี ซึ่งในปีนี้หลายประเทศยกระดับแผนที่เข้มงวดขึ้น อาทิ จีนตั้งเป้าลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิร้อยละ 7-10 จากระดับสูงสุด ส่วนสหภาพยุโรป (EU) ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราวร้อยละ 66.25-72.5 เมื่อเทียบจากยุค 1990 ซึ่งครอบคลุมทุกภาคส่วน และเป็นก้าวสำคัญสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิร้อยละ 90 ภายในปี 2583 ส่วนเจ้าภาพบราซิลมีแผนลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 59-67 จากระดับในปี 2548 หรือเทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในชั้นบรรยากาศ 850 ล้านตัน ถึง 1.5 พันล้านตัน



ในส่วนของไทยก็มีแผนจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 47 จากปริมาณที่ปล่อยในปี 2562 ภายในปี 2578 เพื่อเร่งให้ไทยบรรลุ Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้เร็วขึ้น 15 ปี หรือต้องการบรรลุเป้าหมายให้ได้ภายในปี 2593 จากเดิมที่ไทยตั้งเป้าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2608 

อีกประเด็นที่ประชาคมโลกให้ความสนใจ คือ การจัดหาเงินทุนสนับสนุนการดำเนินการเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศภายใต้โรดแมป “บากู ทู เบเลง” (Baku to Belém) ซึ่งเป็นแผนการระดมทุนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่เกิดขึ้นในการประชุม COP29 โดยตั้งเป้าไว้ที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี 2578 นับเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก

แต่เป้าหมายที่วางไว้ยังอยู่ห่างไกลจากเงินทุนที่ระดมได้จริง โดยเว็บไซต์ Carboncredits.com อ้างข้อมูลจากองค์กร Climate Policy Initiative พบว่า ในปี 2566 การระดมทุนด้านสภาพอากาศสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ราว 1.96 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1 ใน 6 ของที่จำเป็นต้องใช้ภายในปี 2578 ส่วนข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ประเมินว่า ในปี 2565 ประเทศพัฒนาแล้วได้มอบเงิน 1.159 แสนล้านดอลลาร์ให้ประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายเงินทุนที่จำเป็นต้องใช้

อย่างไรก็ตาม ความเสียหายจากภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศทั่วโลกในปี 2567 สูงถึง 3.2 แสนล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน หลายประเทศที่มีความเปราะบางกำลังเผชิญกับหนี้สินและภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ฐานะทางการคลังค่อนข้างจำกัด สะท้อนว่าการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศก็จะยังห่างไกลจากเป้าหมายอีกมาก

น่าสนใจว่า ในการประชุม COP30 มีการเสนอจัดตั้งกองทุนป่าไม้เขตร้อนเพื่ออนาคต (Tropical Forests Forever Fund-TFFF) เป็นกองทุนเฉพาะสำหรับประเทศป่าเขตร้อนในการดูแลรักษาป่าแทนการตัดไม้ทำลายป่า มูลค่า 1.25 แสนล้านดอลลาร์ โดยมี 53 ประเทศให้การรับรอง และระดมทุนในเบื้องต้นได้แล้วกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง