ชาติยุโรปปลดล็อกโควิด สวีเดนยกเลิกมาตรการเข้มทั้งหมด มองโควิด-19 เหมือนไข้หวัดใหญ่
สวีเดนยกเลิกข้อจำกัดการแพร่ระบาดเกือบทั้งหมดในวันพุธ (10 กุมภาพันธ์) และสิ้นสุดการ ตรวจหาเชื้อโควิด เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 แม้จะยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงก็ตาม
---ยกเลิกคุมเข้มโควิด---
นับจากนี้ไปสวีเดนจะให้บริการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ฟรี แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ และบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคโควิดเท่านั้น สำหรับประชาชนกลุ่มอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ แม้จะมีอาการเจ็บป่วย ก็จะไม่สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อฟรีได้ แต่จะถูกขอให้อยู่กับบ้านแทน
คาริน เท็กมาร์ค วิเซลล์ หัวหน้าหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสวีเดนระบุว่า ประเทศได้มาถึงจุดที่ไม่มีเหตุผล ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและความเกี่ยวข้องกับการทดสอบหาเชื้ออีกต่อไป เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงประมาณ 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 7,205 ล้านบาทต่อเดือน
นอกจากนี้ สวีเดนยังยกเลิกมาตรการคุมโควิดเกือบทั้งหมด รวมถึงยกเลิกการจำกัดจำนวนคนที่สามารถรวมตัวกันตามงานต่าง ๆ ยกเลิกการใช้ใบรับรองวัคซีนสำหรับกิจกรรมในร่มบางอย่าง และยกเลิกการลดชั่วโมงการทำงานสำหรับบาร์ลง แต่รัฐบาลยังคงแนะนำให้ประชาชนที่ไม่ได้รับวัคซีนต้านโควิดหลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่แออัด
---โรคระบาดยังไม่สิ้นสุด---
แม็กดาเลนา แอนเดอร์สสัน นายกรัฐมนตรีสวีเดน ระบุว่า ถึงเวลาเปิดประเทศสวีเดนแล้ว “โรคระบาดยังไม่สิ้นสุด แต่กำลังเข้าสู่ระยะใหม่”
ล่าสุด มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสวีเดน 16,244 คน ติดเชื้อสะสม 2.35 ล้านคน และมีผู้ได้รับวัคซีนต้านโควิดครบถ้วนคิดเป็น 72.8% ของประชากรทั้งหมด
จนถึงขณะนี้ สหราชอาณาจักรและสแกนดิเนเวีย สวีเดน เดนมาร์ก และนอร์เวย ตอนนี้แทบไม่มีข้อจำกัดด้านโควิด-19 เลย เนื่องจากประเทศเหล่านี้ เตรียมที่จะก้าวข้ามการแพร่ระบาด แม้การติดเชื้อจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่การรักษาในโรงพยาบาลค่อนข้างต่ำ
เจ้าหน้าที่บางคน ระบุว่า การรักษาโควิด-19 นั้น ก็เหมือนกับที่เรารักษาอาการเจ็บป่วยในชีวิตประจำวันอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าแนวทางดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนเวลาที่ควร และวาดภาพในแง่ดีมากเกินไปว่า "การใช้ชีวิตร่วมกับโควิด" เกิดขึ้นจริง ๆ รวมถึงการเข้าใจผิดถึงความหมายของโรคที่เกิดเฉพาะถิ่น
และการยกเลิกตรวจหาเชื้อแบบ PCR ฟรี จะทำให้เกิดช่องว่างของข้อมูล เพราะการทดสอบโควิดในวงกว้าง เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการแพร่ระบาด ช่วยให้ระบุไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่ได้ และช่วยให้ผู้คนรู้ว่าควรกักตัวเมื่อใด
แม้ว่าชุดทดสอบโควิดแบบแอนติเจนที่ตรวจหาเชื้อได้อย่างรวดเร็วจะมีวางจำหน่ายในสวีเดน แต่ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลที่ละเอียดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้เชี่ยวชาญได้ นอกจากนี้การตรวจสอบไวรัสและผลลัพธ์จะไม่ถูกรายงานไปยังหน่วยงานด้านสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อที่สูง อาจส่งผลให้หลายประเทศหันมาใช้แนวทางเดียวกันกัน เช่น เดนมาร์ก ก็มีกำหนดจะยุติการตรวจหาเชื้อโควิดฟรี ต้นเดือนมีนาคมนี้
---อย่าดูถูกโอมิครอน---
ต้นสัปดาห์นี้ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เพิ่งออกมาเตือนว่า อย่าดูถูกโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ที่ปรากฏตัวขึ้นไม่กี่เดือนก่อนว่าไม่มีอาการรุนแรง เพราะทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วครึ่งล้านคน พร้อมกับเตือนว่าโลกเพิ่งอยู่ในช่วงกลางของการระบาด หลายประเทศยังไม่ผ่านจุดสูงสุดของโอมิครอนด้วยซ้ำ
อับดิ มาฮามุด ผู้จัดการอุบัติการณ์ (Incident Manager) แห่งองค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่า มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกมากถึง 130 ล้านคน และเสียชีวิต 500,000 คนนับตั้งแต่ประกาศให้โอมิครอนเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
โอมิครอนแซงหน้า เดลตา กลายเป็นสายพันธุ์หลักของโลก เนื่องจากแพร่เชื้อได้ง่าย แม้จะทำให้มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงน้อยกว่าก็ตาม
---ผู้เสียชีวิตยังพุ่งสูง---
WHO ระบุว่า ได้รับรายงานพบผู้เสียชีวิตรายใหม่เกือบ 68,000 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าถึง 7% อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์ ลดลง 17% อยู่ที่ประมาณเกือบ 19.3 ล้านคน
ขณะที่ ทวีปยุโรปมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่คิดเป็น 53% จากผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีผู้เสียชีวิตคิดเป็น 35% ของผู้เสียชีวิตรายใหม่ทั้งหมดทั่วโลก รองลงมาคือทวีปอเมริกา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่คิดเป็น 23% และเสียชีวิตรายใหม่คิดเป็น 44%
ขณะนี้ ตรวจพบตัวกลายพันธุ์โอมิครอนเกือบทุกประเทศแล้ว และโอมิครอนคิดเป็น 96.7% ของตัวอย่างที่รวบรวมในช่วง 30 วันล่าสุด ขณะที่เชื้อเดลตา มีสัดส่วนแค่ 3.3% เท่านั้น
WHO ระบุว่า แม้ยังมีข้อมูลอย่างจำกัดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีโควิดกลายพันธุ์โอมิครอน แต่ก็มีข้อมูลบ่งชี้ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโอมิครอนได้มากขึ้น
ล่าสุด โควิด-19 คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกแล้วมากกว่า 5.76 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อสะสมอย่างน้อย 400 ล้านคน ขณะที่มีผู้ได้รับวัคซีนครบถ้วน 54.1%
—————
แปล-เรียบเรียง: สุภาพร เอ็ลเดรจ
ภาพ: Anders Wiklund via REUTERS