Wi-Fi: คลื่นความถี่ 2.4 GHz, 5 GHz และ 6 GHz มันต่างกันยังไง? เลือกใช้แบบไหนดีสุด

เดี๋ยวนี้เวลาเราจะต่อ Wi-Fi ทีไร ก็มักจะเห็นชื่อสัญญาณแปลกๆ โผล่มาให้เลือก ทั้ง 2.4G, 5G หรือบางทีก็มี 6G ด้วย! แต่คลื่นต่างๆ มันคืออะไร แล้วมันต่างกันยังไง? ทำไมบางทีเน็ตก็แรง บางทีเน็ตก็อืด วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้เพื่อนๆ กันแบบเข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องลงลึกทางเทคนิคกันเยอะ พร้อมชี้เป้าว่าแต่ละคลื่นเหมาะกับอะไรบ้าง จะได้เลือกใช้ถูก ไม่ต้องหัวร้อนกับเน็ตเต่าอีกต่อไป
ทำความรู้จักกับคลื่น Wi-Fi แต่ละตัว
ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจก่อนว่า "GHz" ย่อมาจาก "Gigahertz" ซึ่งเป็นหน่วยวัดความถี่ของคลื่นวิทยุ ยิ่งค่า GHz สูง ความถี่ก็ยิ่งสูงขึ้น และมีผลต่อความเร็ว ระยะทาง และการรบกวนของสัญญาณ
1. Wi-Fi ความถี่ 2.4 GHz (คลื่นเจ้าตำนาน):
- ข้อดี:
- ไปได้ไกล ทะลุกำแพงดี: คลื่นนี้มีความยาวคลื่นมากกว่า ทำให้สัญญาณเดินทางได้ไกล และสามารถทะลุสิ่งกีดขวางอย่างกำแพงหรือเฟอร์นิเจอร์ได้ดีกว่า เหมาะสำหรับบ้านที่มีหลายห้อง หรือต้องการสัญญาณครอบคลุมทั่วบ้าน
- รองรับอุปกรณ์เก่าๆ: อุปกรณ์ Wi-Fi ส่วนใหญ่ (ทั้งเก่าและใหม่) จะรองรับคลื่นนี้หมด ไม่ต้องกังวลเรื่องอุปกรณ์ใช้ไม่ได้
- ข้อเสีย:
- รถติดหนึบ (ความเร็วต่ำกว่า): เป็นคลื่นที่คนใช้กันเยอะมาก ทั้ง Wi-Fi เราเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เตาไมโครเวฟ หูฟังบลูทูธ ก็ใช้คลื่นใกล้เคียงกัน ทำให้เกิด "การรบกวน" (Interference) สัญญาณ เหมือนถนนหลายเลนแต่รถเยอะจัดๆ รถมันก็ติด ส่งผลให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตไม่สูงมาก
- สัญญาณไม่นิ่งเท่าไหร่: และด้วยความที่มีการรบกวนเยอะ ทำให้สัญญาณอาจจะไม่เสถียรเท่าที่ควร บางทีก็หลุดๆ ดับๆ
เหมาะกับใคร: บ้านใหญ่ๆ ที่อยากให้สัญญาณไปถึงทุกมุมห้อง, คนที่ใช้อุปกรณ์เก่าๆ หรือคนที่ไม่เน้นความเร็วเน็ตแรงเวอร์ แค่พอเล่นโซเชียล ดู YouTube ชิลๆ
2. Wi-Fi ความถี่ 5 GHz (คลื่นความเร็วสูง):
- ข้อดี:
- เร็วแรงแซงทางโค้ง (ความเร็วสูงกว่า): คลื่นนี้เป็นช่องทางด่วนเลย! เพราะมีความถี่สูงกว่า ทำให้ส่งข้อมูลได้เร็วกว่า 2.4 GHz หลายเท่าตัว เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็วสูงๆ เช่น สตรีมมิ่งหนังซีรีส์ 4K/8K, เล่นเกมออนไลน์, โหลดไฟล์ใหญ่ๆ
- รบกวนน้อยกว่า: คลื่นนี้มีช่องสัญญาณให้เลือกใช้เยอะกว่า ทำให้มีการรบกวนจากอุปกรณ์อื่นน้อยลง สัญญาณเลยเสถียรและนิ่งกว่า
- ข้อเสีย:
- ไปไม่ไกล ทะลุกำแพงยาก: คลื่น 5 GHz มีความยาวคลื่นสั้นกว่า ทำให้สัญญาณเดินทางได้ไม่ไกลเท่า 2.4 GHz และทะลุสิ่งกีดขวางได้ไม่ดีนัก ถ้าอยู่ไกลเราเตอร์ หรือมีกำแพงหนาๆ กั้น สัญญาณอาจจะอ่อนหรือหลุดได้ง่าย
- อุปกรณ์บางอย่างอาจไม่รองรับ: อุปกรณ์เก่าๆ บางตัวอาจจะไม่รองรับ Wi-Fi คลื่น 5 GHz ต้องเช็คให้ดีก่อน
เหมาะกับใคร: สายสตรีมมิ่ง, เกมเมอร์, คนที่ทำงานอัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่ๆ, หรือคนที่อยู่ใกล้เราเตอร์และอยากได้ความเร็วอินเทอร์เน็ตแบบจัดเต็ม
3. Wi-Fi ความถี่ 6 GHz (คลื่นใหม่ ไฉไลกว่าเดิม):
- ข้อดี:
- เร็วสุดๆ ไปเลย (Wi-Fi 6E/7): นี่คือคลื่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับมาตรฐาน Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 7 เร็วแรงกว่า 5 GHz ไปอีกขั้น มีช่องสัญญาณให้ใช้เยอะกว่าเดิมมากๆ แทบไม่มีการรบกวนเลย
- รองรับการเชื่อมต่อพร้อมกันได้เยอะ: ถ้ามีอุปกรณ์เยอะๆ ในบ้าน ก็ยังคงได้รับความเร็วที่ดีอยู่ เพราะมีช่องสัญญาณเหลือเฟือ
- Latency ต่ำสุดๆ: เหมาะสำหรับ VR/AR, เกมที่ต้องการความหน่วงต่ำมากๆ
- ข้อเสีย:
- ไปไม่ไกลเท่า 5 GHz และทะลุกำแพงได้ยากกว่าเดิม: ด้วยความถี่ที่สูงมาก สัญญาณจึงเดินทางได้สั้นมากๆ และอ่อนไหวต่อสิ่งกีดขวางสุดๆ คือต้องอยู่ใกล้ๆ เราเตอร์มากๆ ถึงจะได้ประสิทธิภาพเต็มที่
- อุปกรณ์ที่รองรับยังมีจำกัดและราคาสูง: ณ ตอนนี้ มีแค่เราเตอร์และอุปกรณ์ใหม่ๆ ระดับท็อปเท่านั้นที่รองรับคลื่น 6 GHz (Wi-Fi 6E/7) ซึ่งราคาก็ยังสูงอยู่มาก
- ไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศ: บางประเทศอาจจะยังไม่มีการอนุมัติให้ใช้คลื่น 6 GHz ในการส่งสัญญาณ Wi-Fi
เหมาะกับใคร: คนที่ต้องการความเร็ว แรง ลื่นแบบสุดขีดจริงๆ, มีอุปกรณ์รองรับ Wi-Fi 6E/7, เน้นใช้กับ VR/AR, หรือเป็นสายเกมเมอร์ตัวพ่อตัวแม่ที่ต้องการ Latency ต่ำที่สุด และแน่นอนว่าต้องมีงบประมาณที่พร้อมลงทุน
สรุปแล้ว... ควรเลือกใช้แบบไหนดี?
- ใช้ 2.4 GHz เมื่อ: สัญญาณต้องเดินทางไกล, มีกำแพงหลายชั้น, หรือมีอุปกรณ์เก่าๆ ที่รองรับแค่ 2.4 GHz
- ใช้ 5 GHz เมื่อ: ต้องการความเร็วสูง, อยู่ใกล้เราเตอร์, หรือทำงานที่ต้องการความเสถียร (สตรีมมิ่ง, เล่นเกม)
- ใช้ 6 GHz เมื่อ: ต้องการความเร็ว แรง และความหน่วงต่ำที่สุดในบรรดาคลื่น Wi-Fi ทั้งหมด และอุปกรณ์ของคุณรองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6E/7
เคล็ดลับ: เราเตอร์ Wi-Fi สมัยใหม่ส่วนใหญ่เป็นแบบ Dual-Band (รองรับทั้ง 2.4 GHz และ 5 GHz) หรือ Tri-Band (รองรับ 2.4 GHz, 5 GHz สองช่อง, หรือ 2.4 GHz, 5 GHz, 6 GHz) ซึ่งจะฉลาดพอที่จะเลือกเชื่อมต่ออุปกรณ์ของคุณกับคลื่นความถี่ที่เหมาะสมที่สุดให้เอง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
หวังว่าเพื่อนๆ จะเข้าใจเรื่องคลื่น Wi-Fi และเลือกใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองกันมากขึ้น จะได้เล่นเน็ตได้แบบไม่มีสะดุด ชีวิตดี๊ดีแน่นอน!
Photo Credit : AI Generated