DSI รุกสอบคดีทุจริตเลือก สว. พบโยงเงินการเมืองข้ามภูมิภาค

การตั้งข้อสงสัยต่อกระบวนการเลือก สว.
การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตามกลไกใหม่ควรเป็นพื้นที่ของความรู้ ความสามารถ และความเป็นกลางทางการเมือง ทว่าในความเป็นจริง กลับมีการตั้งข้อสังเกตถึงขบวนการจับมือทางผลประโยชน์ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินเพื่อแลกเปลี่ยนคะแนนเสียงในหลายพื้นที่
ข้อกล่าวหาเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อปรากฏพฤติกรรมทางการเงินผิดปกติในช่วงใกล้วันเลือกตั้ง ข้อมูลบางส่วนชี้ว่าเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอาจโยงใยกับนักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่นในหลายภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้
DSI รับลูก สอบเส้นทางเงินลึกถึงโครงสร้าง
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษในข้อหาฟอกเงินและอั้งยี่ พร้อมเริ่มต้นติดตามเส้นทางการเงินที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการรวบรวมคะแนนเสียงอย่างเป็นระบบ
ล่าสุด DSI ออกหมายเรียกพยานล็อตแรก 7 ราย ให้เข้าชี้แจงในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบธุรกรรมการเงินเพิ่มเติม และมีแนวโน้มว่าจะมีหมายเรียกพยานใหม่ในระยะถัดไป
กกต. เร่งกลั่นกรองข้อมูล
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง และได้ออกหมายเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วรวม 7 ล็อต จำนวนรวม 162 ราย โดยการสอบสวนครอบคลุมบุคคลจากหลายภูมิภาค ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกในแต่ละราย แต่ กกต. ยืนยันว่าการสอบสวนใกล้เสร็จสมบูรณ์ และคาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนส่งต่อฝ่ายกฎหมายภายในระยะเวลาอันใกล้ หากพบพฤติกรรมเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งดำเนินการต่อไป
ผลทางกฎหมาย และความหมายทางการเมือง
เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งรับคำร้อง ผู้ที่ถูกกล่าวหาในตำแหน่ง สว. จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่โดยทันที และหากศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริง จะต้องรับโทษจำคุกระหว่าง 1–10 ปี หรือปรับระหว่าง 20,000–200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนานถึง 20 ปี
ไม่เพียงส่งผลต่อสถานะของผู้ดำรงตำแหน่งรายบุคคล แต่ยังอาจส่งแรงกระเพื่อมต่อความชอบธรรมของทั้งระบบการได้มาซึ่ง สว. ซึ่งในอดีตเคยถูกวิจารณ์ว่าเป็นพื้นที่ที่ขาดความโปร่งใส
ผู้ที่มีชื่อในกระบวนการสอบสวนบางรายเลือกเข้าชี้แจงด้วยตนเอง ขณะที่บางส่วนมอบอำนาจให้ทนายความเข้าไปดำเนินการแทน โดยแสดงความพร้อมให้ความร่วมมือ และยืนยันว่ากระบวนการต้องให้ความเป็นธรรม
แม้ยังไม่มีการกล่าวถึงท่าทีของกลุ่มการเมืองใดโดยตรง แต่การเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนครั้งนี้สะท้อนความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างกลไกตรวจสอบกับโครงสร้างทางการเมือง
คดีนี้สำคัญอย่างไรในระยะยาว
การตรวจสอบคดีเลือก สว. ในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของพฤติกรรมบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบความเข้มแข็งของสถาบันตรวจสอบในระบบประชาธิปไตยไทย
หากสามารถแสดงให้เห็นว่ากลไกที่เกี่ยวข้องทั้ง DSI และ กกต. ดำเนินการโดยไม่เกรงใจกลุ่มอิทธิพลใด ย่อมเป็นหมุดหมายสำคัญของการปฏิรูปการเมืองในทางปฏิบัติ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการรื้อกลไกคัดเลือก สว. เพื่อออกแบบให้มีความเป็นอิสระ โปร่งใส และรับผิดชอบต่อสาธารณะมากยิ่งขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
