เปิดโผ 10 หุ้นบิ๊กแคปวิ่งสวนโควิด "DELTA" สุดปัง
ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมายังเผชิญความผันผวนจากปัจจัยลบใน-นอกประ เทศรุมเร้าไม่หยุด แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาสตามไปดูกันหน่อยว่า 10 หุ้นฮอตที่ให้ผลตอบแทนสวนโควิดรอบ3มีอะไรกันบ้าง
ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมายังเผชิญความผันผวนจากปัจจัยลบในประเทศ โดยเฉพาะโควิดระลอก 3 ที่แพร่ระบาดไม่หยุดแม้ว่ารัฐจะพยายามเร่งกระจายฉีดวัคซีน เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับพลิกฟื้นคืนชีพกลับคืนมา แต่ในต่างประเทศก็ยังมีปัญหาการเร่งตัวของเงินเฟ้อในสหรัฐฯ บอนด์ยีลด์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ
ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดรวมถึงการปรับลดคิวอีสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกดตลาดในช่วงนี้ ดังนั้นการลงทุนช่วงนี้นักลงทุนคงต้องกระชับพอร์ตและเลือกหุ้นพื้นฐานดีมีปันผลเก็บไว้ในพอร์ตกันบ้าง
นอกจากนี้ จากการสำรวจหุ้น 100 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) โดยดูจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)สูงสุด ในช่วงการระบาดโควิดระลอก 3 คลัสเตอร์ทองหล่อลามมาคลัสเตอร์ใหม่ตั้งแต่เดือนเม.ย.-ปัจจุบันพบว่า 10 หุ้นฮอตที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นในช่วงวิกฤติโควิดมากสุดหนีไม่พ้น DELTA ราคา ปิดที่ 548 บาท เพิ่มขึ้น 88.97% มาร์เก็ตแคป 683,565.12 ล้านบาท
รองลงมาคือ DOHOME ราคาปิดที่ 25.25 บาท เพิ่มขึ้น 26.25% มาร์เก็ตแคป 238,257.07 ล้านบาท ถัดมาเป็นหุ้น KCE ราคาปิด 70 บาท เพิ่มขึ้น 25% มาร์เก็ตแคป 82,592.62 ล้านบาท
หุ้นตัวต่อมาคือ TU ราคาปิด 17.70 บาท เพิ่มขึ้น 20.41%มาร์เก็ตแคป 84,461.13 ล้านบาท หุ้น TOA ราคาปิด 37.25 บาท เพิ่มขึ้น 17.32% % มาร์เก็ตแคป 75,580.25 ล้านบาท หุ้น SCGP ราคาปิด 55.50 บาท เพิ่มขึ้น 18.72% มาร์เก็ตแคป 238,257.07 ล้านบาท
ส่วนหุ้นน้องใหม่ TIDLOR ราคาปิด 42.25 บาท เพิ่มขึ้น15.75% มาร์เก็ตแคป 97,977.10 ล้านบาท หุ้น COM 7 ราคาปิด 74.25 บาท เพิ่มขึ้น 16.02%มาร์เก็ตแคป 89,100 ล้านบาท หุ้น SCC ราคาปิด 442 บาท เพิ่มขึ้น 10.78% มาร์เก็ตแคป 530,400 ล้านบาท และปิดท้ายที่ INTUCH ราคาปิดที่ 64 บาท เพิ่มขึ้น 10.34% มาร์เก็ตแคป 205,216.60 ล้านบาท
นายเอนกพงศ์ พุทธาภิบาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส มองว่า หุ้น DELTA ที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงโควิดเนื่องจากได้รับอานิสงส์จาก Data center หรือระบบการจัดเก็บข้อมูลมีการเติบโตสูงจากการปรับตัวของภาคธุรกิจ รวมถึงได้รับอานิสงค์จากธุรกิจ EV Car เติบโตโดดเด่นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้ความต้องการชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์กลับมาเพิ่มขึ้น จากปีก่อนที่ชะลอตัว แม้คาดกำไรสุทธิปี2564 จะเติบโต 18% yoy แต่ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยบวกไปมากแล้ว จากValuation ที่แพง โดยราคาปัจจุบันมี PER สูงถึง 57 เท่าแนะนำขาย
สำหรับหุ้น KCE กำไรฟื้นตัวเกิน 100% แนวโน้มธุรกิจดีต่อเนื่องไตรมาส 2 และไตรมาส 3ประกอบกับในต่างประเทศคลายล็อกดาวน์ำทำให้กำลังผลิตรถยนต์เพิ่มจากกำลังซื้อที่ฟื้นทำให้ออร์เดอร์แผงวงจรอิเลคทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยนำไปสู่การเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น 16.7% และปี 65 อยู่ที่ 14.3% ทั้งนี้แม้ภาพรวมธุรกิจหลักจะเติบโตต่อเนื่องแต่ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว
ขณะที่หุ้น TU แนวโน้มกำไรสุทธิปีนี้เติบโตต่อเนื่อง จากธุรกิจกุ้ง แซลมอน อาหารแช่แย็น แช่แข็งและร้านอาหาร Red Lobsterในสหรัฐฯกลับมาเปิดให้บริการคาดกำไรสุทธิปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 2.3% yoy จากธุรกิจทูน่ากระป๋องอาหารสัตว์เลี้ยงยังดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเน้นให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการทำกำไรมากขึ้น ทั้งธุรกิจมูลค่าเพิ่มและลงทุนเครื่องจักรเพื่อลดต้นทุนในโรงงาน Valuation ยังน่าสนใจ พร้อมปันผลกว่า 4%เน้นธุรกิจมูลค่าเพิ่ม หนุน Margin ดีขึ้นในระยะยาว กำหนด FV ปี 2564 เท่ากับ 20 บาท
อิงวิธี DCF (WACC 7.34%) ราคาหุ้นปัจจุบันมีค่าPER เพียง 12 เท่า และสามารถคาดหวัง Div Yields ได้ราว 5% ต่อปีแนะนำซื้อ
ส่วนหุ้น TIDLOR สินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หนุนทิศทางกำไรสุทธิ 2Q64 ดีขึ้น คาดว่าทั้งปีเติบโตถึง 26% yoy แต่ราคาหุ้น Upside จำกัด แนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัวกำหนด FV ปี 2564 เท่ากับ 44 บาท อิง PBV 4.7 เท่า ตามวิธี Gordon Growth Modelที่ ROE เฉลี่ยระยะยาว 20.0% ราคาหุ้นมี Upside จำกัด แนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่า หุ้น TOA มีแนวโน้มผลประกอบการปีนี้เติบโตจึงได้ปรับประมาณการขึ้น คาดกำไร 2,322 ล้านบาท เติบโต 14% แรงหนุนยอดขายที่เติบโต ขยายสินค้าที่ไม่ใช่สีทาอาคาร เพิ่มสินค้าพรีเมี่ยม การทยอยปรับราคาครอบคลุมสินค้า 80% จะทำให้มาร์จิ้นไม่ลดลงมากนักแม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันจะปรับขึ้น การเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่“MEGA PAINT Warehouse” จะช่วยเสริมยอดขาย เราคงแนะนำซื้้อลงทุน ประเมินราคาเป้าหมาย 40 บาท บนฐาน Forward P/E เฉลี่ยประมาณ 35 เท่าเพิ่มจาก 38 บาท
ส่วนหุ้น SCC ภาพรวมธุรกิจไตรมาส 2Q64 มีแนวโน้มจะดีขึ้นอีก แรงหนุนสำคัญจากธุรกิจเคมิคอลส์ ซึ่งราคาผลิตภัณฑ์ รวมถึงสเปรด HDPE, PP, PVC ปรับขึ้นต่อ เพราะ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังต่อเนื่อง ชัพพลายมีข้อจำกัดจากูโรงงานปิโตรเคมีหลายแห่งมีการปิดซ่อมบำรุง
นอกจากนี้ยังมีกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น 12% ของ MOCD ช่วยเพิ่มยอดขาย ธุรกิจจากโครงการภาครัฐบาลยังปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดจะเติบโตจากปีก่อนต่อเนื่อง และ การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแนวโนมเติบโตต่อเนื่องแรงหนุนจากขยายกำลังการผลิต และธุรกิจบรรจุภัณฑ์คริบวงจรควบรวมกิจการธุรกิจปิโตรเคมีครึ่งปีหลังจะชะลอตัวจากครึ่งปีแรกจากกำลังการผลิตใหม่รวม วมแล้ว แต่เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้นอีก คาดกำไรปีนี้ 44,892 ล้านบาท โต 32%ราคาเป้าหมาย 520 บาท
บล.คันทรี่กรุ๊ปแจ้งว่า SCC รายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งใน1Q21 ผลักดันโดยแนวโน้มขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง
ในประเทศฟื้นตัวได้ดีแนวโน้มที่แข็งแกร่งจะยังดำเนินต่อเนื่องใน 2021 โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่ส่วนต่างราคายังคงขยายตัว QOQ และปรับประมาณการกำไรสุทธิ ปี 21 -23E ขึ้น 8-16% สะท้อนแนวโน้มดังกล่าว ประกอบกับ SCC อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจเคมีคอลซึ่งรวมไปถึงการ IPO โดยเรามองว่าประเด็นดังกล่าวปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้น หลังจากที่การ IPO ของ SCGP ก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จสูงราคาเป้าหมาย 553 บาท
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564-65 หุ้น COM 7 ขึ้นอีก 13%เนื่องจากบริษัทมีกลยุทธ์ทางธุรกิจชัดเจนที่จะรักษาอัตราการเดิบโตของกำไรด้วยการขยายสาขาร้าน, การคัดสรรสินค้ามาจำหน่าย, และการขายผ่านช่องทางออบไลน์ ซึ่งจะทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากกระแส WFH ในระยะสั้น และกระแสการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี 5G ในระยะกลางและยาวด้วย