เปิดตัว Antigravity A1 โดรน 8K 360 องศา ปฏิวัติประสบการณ์เสมือนจริง

วงการโดรนบินและเทคโนโลยีการถ่ายภาพต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อบริษัท Antigravity ได้ประกาศเปิดตัว Antigravity A1 โดรนถ่ายภาพ 8K 360 องศาแบบออลอินวัน (All-in-one) ตัวแรกของโลก แม้คำกล่าวอ้างนี้จะฟังดูเหมือนกลยุทธ์ทางการตลาด แต่จากการทดสอบบินจริงโดยผู้เชี่ยวชาญ หลายเสียงต่างยอมรับเป็นเอกฉันท์ว่านี่คือนวัตกรรมที่เข้ามาปฏิวัติวงการอย่างแท้จริง
โดยไมเคิล ชาบัน (Michael Shabun) ผู้บริหารจาก Antigravity ได้นิยามนวัตกรรมชิ้นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า A1 คือการนำอิสระของการถ่ายภาพ 360 องศามาติดปีกให้สามารถโลดแล่นไปในอากาศได้อย่างไร้ขีดจำกัด
สิ่งที่ทำให้โดรน Antigravity A1 แตกต่างจากโดรนทั่วไปในท้องตลาดอย่างสิ้นเชิง คือแนวคิดการออกแบบและระบบควบคุมที่พลิกโฉมวิธีการบินแบบเดิม ๆ โดยมันถูกสร้างขึ้นด้วยปรัชญาเน้นการใช้งานชุดหูฟังเป็นหลัก (Headset-first) แตกต่างจากโดรนทั่วไปที่ผู้ใช้วางสายตาไว้ที่หน้าจอบนก้านบังคับ
โดรน Antigravity A1 ติดตั้งอุปกรณ์ Vision Goggles ที่เปรียบเสมือน ห้องนักบิน (Cockpit) ส่วนตัว เมื่อทำงานร่วมกับ Grip Controller ที่มาพร้อมนวัตกรรม FreeMotion Mode ผู้ใช้สามารถควบคุมทิศทางการบินได้เพียงแค่การชี้มือ การควบคุมผ่านการเอียงตัว บิดข้อมือ และขยับศีรษะ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ เหมาะสมอย่างยิ่งกับวิสัยทัศน์แบบ 360 องศา แม้ว่าผู้ใช้โดรนมืออาชีพบางกลุ่มอาจเคยมองว่าระบบควบคุมแบบเคลื่อนไหว (Motion Controller) เหมาะสำหรับมือสมัครเล่น แต่ A1 ได้พิสูจน์แล้วว่าระบบนี้ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การบินที่ลึกล้ำยิ่งขึ้น
ในส่วนของอุปกรณ์สวมใส่ Vision Goggles นั้น ได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตด้วยเลนส์ระดับพรีเมียมและจอแสดงผล Micro-OLED ขนาด 1 นิ้วคู่ ที่มีความละเอียดสูงถึง 2,560×2,560 พิกเซล มอบความคมชัดเสมือนจริง พร้อมฟีเจอร์ปรับค่าสายตา (Adjustable Diopters) ในตัว ทำให้ผู้ที่มีปัญหาสายตาสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตาซ้อน มอบประสบการณ์เสมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลก VR ตั้งแต่วินาทีที่โดรนยกตัวขึ้นจากพื้น
ทางด้านการควบคุม Grip Controller ถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย โดยมีโหมดการบินให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่โหมดปกติ (Normal), โหมดภาพยนตร์ (Cine) ที่เน้นความนุ่มนวล, ไปจนถึงโหมดสปอร์ต (Sport) ที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 36 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 58 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือบินไต่ระดับในแนวดิ่งได้ที่ความเร็ว 18 ไมล์ต่อชั่วโมง 29 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมปุ่มเบรกฉุกเฉินขนาดใหญ่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
หัวใจสำคัญของโดรน Antigravity A1 คือ ระบบการบันทึกภาพที่ทรงพลังด้วยความสามารถในการถ่ายวิดีโอความละเอียด 8K แบบต่อเนื่องในทุกทิศทางพร้อมกัน และถ่ายภาพนิ่งไฟล์ RAW ความละเอียด 55 เมกะพิกเซล ขับเคลื่อนด้วยชุดเซ็นเซอร์คู่ขนาด 1/1.28 นิ้ว รองรับการบันทึกวิดีโอ 8K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที, 5.2K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที หรือ 4K ที่ 100 เฟรมต่อวินาที ในรูปแบบทรงกลมพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวเต็มรูปแบบ (Fully Image-stabilized Sphere) ด้วยอัตราบิตสูงสุดถึง 170 Mbps คุณสมบัติเด่นของโดรนช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างสรรค์มุมกล้องแบบภาพยนตร์ หรือเอฟเฟกต์ (Tiny Planets) ได้ในขั้นตอนการตัดต่อโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบินซ้ำ
นอกจากนี้ การมองเห็นแบบ 360 องศายังช่วยกำจัดจุดบอดในการบินได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมระบบภาพซ้อนภาพ (Picture-in-picture) ที่ช่วยบอกทิศทาง และความสามารถพิเศษในการมองเห็นมุมเงย 90 องศา ซึ่งเป็นสิ่งที่โดรนทั่วไปทำไม่ได้ เปิดมุมมองใหม่ในการบินลอดใต้สิ่งก่อสร้างต่างๆ
ในด้านการออกแบบภายนอกและกฎระเบียบการบินโดรน Antigravity A1 ถูกออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบาเพียง 249 กรัม เมื่อใช้แบตเตอรี่มาตรฐาน ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้โดรนรุ่นนี้อยู่นอกเหนือข้อบังคับการจดทะเบียนของ FAA ในสหรัฐอเมริกาและกฎระเบียบในหลายประเทศทั่วโลก
ระบบพลังงานแบตเตอรี่มาตรฐานรองรับการบินได้นาน 24 นาที แต่หากผู้ใช้ต้องการระยะเวลาที่นานขึ้น สามารถเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่บินได้นานถึง 39 นาที แม้จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 291 กรัมและต้องดำเนินการด้านเอกสารเพิ่มเติมก็ตาม ด้านเสถียรภาพ A1 มีความสามารถต้านทานลมระดับ 5 หรือต้านลมเร็วสูงสุด 39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS, Galileo และ Beidou ทำให้การลอยตัวนิ่งสนิทแทบจะไร้การแกว่ง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งข้อสังเกตถึงข้อจำกัดบางประการ เช่น ไม่สามารถบินถอยหลังได้ ไม่มีตัวเลือกสำหรับก้านบังคับแบบดั้งเดิม และใบพัดที่วางตำแหน่งต่ำทำให้ต้องการพื้นที่ราบเรียบสนิทสำหรับการลงจอด
สำหรับราคาและการวางจำหน่าย Antigravity A1 ได้เปิดตัวออกมา 3 รูปแบบ
1. ชุด Standard Bundle ราคา 1,599 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 55,200 บาท
2. ชุด Explorer Bundle ราคา 1,899 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 65,500 บาท
3. ชุดสูงสุด Infinity Bundle ราคา 1,999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 69,000 บาท
โดยสินค้ามีวางจำหน่ายแล้วในสหรัฐอเมริกา ทันช่วงเทศกาลคริสต์มาส ตัวเครื่องมาพร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายใน 20 GB รองรับการ์ดหน่วยความจำสูงสุด 1 TB และทางบริษัทยังได้พัฒนาซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอสำหรับทั้งมือถือและเดสก์ท็อปเพื่อรองรับการทำงานแบบครบวงจร
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
