น้ำในประเทศเหลือเพียง 56% : วิกฤตแล้งรุนแรง! หลายพื้นที่เสี่ยงอดน้ำ
บทความนี้ ขอกล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งในประเทศไทยในปี 2566/2567 ซึ่งถือว่ารุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีหลายพื้นที่ทั่วประเทศประสบปัญหาขาดแคลนน้ำทั้งด้านการเกษตร การอุปโภคบริโภค และคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม
สาเหตุหลักมาจากปริมาณฝนที่น้อยกว่าปกติและการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทานที่มีแหล่งน้ำจำกัด ทำให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติต้องเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
ภาวะฝนทิ้งช่วงและปริมาณน้ำต่ำกว่าปกติในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศในช่วงปี 2566/2567 ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ภัยแล้งขึ้น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการน้ำ จึงเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
สถานการณ์น้ำในปัจจุบัน
ตามรายงานของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ข้อมูลจากสทนช. ระบุว่า
ปริมาณน้ำรวมทั้งประเทศ: อยู่ที่ 45,578 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 55% ของปริมาณน้ำทั้งหมด
เปรียบเทียบกับปี 2566: น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 2,232 ล้านลูกบาศก์เมตร
ปริมาณน้ำใช้การ: อยู่ที่ 21,398 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 37% เท่านั้น
จากสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงในปีนี้ ส่งผลให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำน้อยอย่างใกล้ชิดใน 4 เขื่อนสำคัญ ประกอบด้วย
1. เขื่อนสิริกิติ์ ในภาคเหนือ จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำคัญสำหรับการเกษตรและการอุปโภคบริโภคของพื้นที่ลุ่มน้ำปิง
2. เขื่อนจุฬาภรณ์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดชัยภูมิ มีความสำคัญต่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำชี
3. เขื่อนกระเสียว ในภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำคัญสำหรับพื้นที่การเกษตรในจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดใกล้เคียง
4. เขื่อนคลองสียัด ในภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี เป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำคัญสำหรับการเกษตรและการอุปโภคบริโภคในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา
ทั้ง 4 เขื่อนดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการน้ำของพื้นที่ต่างๆ ซึ่งหากเกิดสถานการณ์น้ำน้อย จะส่งผลกระทบต่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค และคุณภาพน้ำในวงกว้าง
สรุปสถานการณ์น้ำในประเทศไทย ณ วันที่ 22 เมษายน 2567
ภาพรวมของสถานการณ์น้ำในประเทศไทยขณะนี้อยู่ในระดับต่ำ โดยข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติระบุว่า มี 4 เขื่อนสำคัญที่มีปริมาณน้ำน้อยและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ในภาคเหนือ เขื่อนจุฬาภรณ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขื่อนกระเสียวในภาคกลาง และเขื่อนคลองสียัดในภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังมีหลายพื้นที่ทั่วประเทศกำลังประสบกับสภาวะภัยแล้ง
เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่าประเทศไทยมีเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งหมด 42 แห่ง มีความจุรวมกัน 57,139 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปริมาณน้ำคงเหลือมีเพียง 10,446 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือเพียง 18% ของความจุทั้งหมดเท่านั้น
ส่วนเขื่อนขนาดกลางมีจำนวน 130 แห่ง มีความจุรวม 14,955 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีปริมาณน้ำคงเหลืออยู่ 5,240 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 35% ของความจุ
สำหรับแหล่งน้ำขนาดเล็กนั้น มีจำนวนมากถึง 8,631 แห่งทั่วประเทศ มีความจุรวม 11,890 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีปริมาณน้ำคงเหลือ 5,710 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 48% ของความจุ
จากข้อมูลดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์น้ำของประเทศไทยในช่วงนี้กำลังประสบปัญหาและมีพื้นที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำกระจายอยู่ทั่วทุกภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนต่อไป
วิกฤตแล้งรุนแรง! หลายพื้นที่เสี่ยงอดน้ำ
สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้มีความรุนแรงเป็นพิเศษ จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พบว่ามีหลายพื้นที่ทั่วประเทศประสบปัญหาขาดแคลนน้ำทั้งด้านอุปโภคบริโภค การเกษตร และคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่นอกเขตชลประทานที่มีแหล่งน้ำจำกัด
สาเหตุหลักของปัญหามาจากปริมาณฝนที่น้อยกว่าปกติ ประกอบกับการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงแหล่งน้ำธรรมชาติที่เสื่อมโทรมลง ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ เกษตรกรไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก ประชาชนขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และปัญหามลพิษทางน้ำอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าด้วย
พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดแคลนน้ำกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา เลย หนองคาย อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น เพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี จันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา รวมถึงชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา
ประชาชนควรใช้น้ำอย่างประหยัด เตรียมพร้อมรับมือภัยแล้งปี 2567
สถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ถือว่ารุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีพื้นที่หลายจังหวัดทั่วประเทศประสบปัญหาขาดแคลนน้ำทั้งด้านการเกษตร การอุปโภคบริโภค และคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น ทุกคนจำเป็นต้องร่วมมือกันในการใช้น้ำอย่างประหยัดและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะยืดเยื้อออกไปอีกระยะหนึ่ง
การใช้น้ำอย่างประหยัดสามารถทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การปิดก๊อกน้ำให้สนิทเมื่อไม่ได้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นขณะแปรงฟัน ล้างจาน หรือแม้แต่อาบน้ำ การเลือกใช้อุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดน้ำ เช่น ฝักบัวแบบประหยัดน้ำ หรือก๊อกน้ำแบบเซ็นเซอร์ นอกจากนี้ การเก็บน้ำฝนมาใช้รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประหยัดน้ำได้ ตลอดจนการตรวจสอบท่อประปาภายในบ้านว่ามีรั่วซึมหรือไม่ และพิจารณาปลูกต้นไม้ที่ใช้น้ำน้อย
นอกเหนือจากการใช้น้ำอย่างประหยัดแล้ว ประชาชนควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้ง โดยการติดตามข่าวสารและประกาศจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เตรียมถังเก็บน้ำสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ซื้อน้ำดื่มสำรองไว้ ศึกษาแนวทางการประหยัดน้ำและนำไปปฏิบัติให้ได้อย่างจริงจัง และร่วมรณรงค์ให้ผู้อื่นใช้น้ำอย่างประหยัดด้วย หากทุกคนร่วมมือกันอย่างจริงจังและพร้อมเผชิญกับวิกฤติครั้งนี้ สถานการณ์ภัยแล้งคงจะคลี่คลายลงได้ในที่สุด
เตรียมรับมือกับปัญหาขาดแคลนน้ำ ผลผลิตเสียหาย และเศรษฐกิจชะลอตัว
สถานการณ์ภัยแล้งในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณฝนที่ลดลง ปรากฏการณ์เอลนีโญ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและเขื่อนที่ต่ำ รวมถึงความต้องการใช้น้ำของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก
ผลกระทบจากภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นในปี 2567 จะส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเกษตรกรรม ซึ่งอาจประสบปัญหาผลผลิตเสียหายและขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร ขณะที่ภาคประชาชนก็อาจเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค รวมถึงคุณภาพน้ำที่อาจเสื่อมโทรมลง
นอกจากนี้ ภาวะภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงยังอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง เนื่องจากการผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารและน้ำ รวมถึงการสูญเสียรายได้ของประชาชนในที่สุด
ภาพ Getty Images