หัวเว่ย ท้าทายมะกัน ประกาศพัฒนา 6G หวังครองสิทธิบัตร
เว็บไซต์นิคเคอิ รายงานเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมาระบุว่า บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี จะผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีไร้สาย 6G เพื่อท้าทายสหรัฐอเมริกาที่พยายามปราบบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนลง โดยเหริน เจิ้งเผย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประกาศกับพนักงานบริษัทให้พยายามทำลายขีดจำกัด และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสากรรมเกิดใหม่นี้
นิคเคอิ อ้งเอกสารภายในของบริษัทหัวเว่ย ระบุว่า ซีอีโอ หัวเว่ย ได้ประกาศกับนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และกลุ่มพนักงานฝึกงานเมื่อต้นเดือนสิงหาคที่ผ่านมาว่า บริษัทจะยังคงพัฒนา 5G และปัญญาประดิษฐ์ต่อไป ขณะที่บริษัทเองก็อยู่ระหว่างการพยายามเป็นผู้นำในเทคโนโลยียุคต่อไป
อย่างไรก็ตาม เหริน รู้ดีถึงผลกระทบที่ได้รับจากการถูกสหรัฐอเมริกาสร้างข้อจำกัดทงการค้ากับธุรกิจสมาร์ทโฟนของหัวเว่ย
“การพัฒนาไปยัง 6G ของเรา เป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับช่วงเวลาคับขัน และเราตั้งเป้าที่จะเป็นเจ้าของสิทธิบัตร 6G” เหริน ระบุ และว่า “เราจะไม่รอจน 6G สามารถใช้ได้เพราะการรอคอยจะทำให้เรามีข้อจำกัดเพราะไม่มีสิทธิบัตร”
รายงานระบุว่า หัวเว่ย เป็นผู้ถือครองสิทธิบัตรที่จำเป็นต่อมาตรฐาน (Standard-essential Patent หรือ SEPs) เทคโนโลยี 5G มากที่สุด โดยสิทธิบัตรเหล่านี้เป็นสิทธิบัตรที่ทำให้ 5G ของหัวเว่ยเร็วกว่า การการถ่ายโอนข้อมูลที่มีลาเทนซี ระดับต่ำ โดยระบบถูกนำไปใช้ในระบบรถยนต์อัตโนมัติ การไลฟ์สตรีม โดย SEPs นั้นครอบคลุมเทคโนโลยีที่ใช้ในมาตรฐานอุตสาหกรรมและ SEPs มีความจำเป็นในการผลิตอุปกรณ์ต่างๆให้เป็นไปตามมาตรฐานเหล่านั้น
เทคโนโลยี 6G ซึ่งยังคงอยู่ระหว่างเริ่มต้นพัฒนา จะเปิดประตูสู่การใช้งานที่ล้ำยุคมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเรื่องของการวิจัยอวกาศและการศึกษาโครงสร้างของโลกเป็นต้น
เช่นเดียวกับเทคโนโลยี 5G ปัจจุบันประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ก็กำลังแข่งขันกันพัฒนา 6G ไม่ว่าจะเป็นจีนที่ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนา 6G เป็นลำดับต้นๆ ขณะที่สหรัฐ และ ญี่ปุ่น ก็ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยี 6G ด้วย เช่นการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นของสหรัฐ โดยทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐต่างตามหลังจีน ในการพัฒนาและการนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้จริง
เหริน ระบุถึงผลกระทบที่หัวเว่ย ได้รับจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐด้วย โดยเฉพาะต่อธุรกิจสมาร์ทโฟน หนึ่งในเสาหลักของการดำเนินธุรกิจของหัวเว่ย โดยประกาศว่าหัวเว่ย จะไม่พยายามก้าวไปเป็นผู้นำชิ้นส่วนเช่นชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกอีกต่อไป ขณะที่หัวเว่ย รายงานรายได้ที่ลดลงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบในธุรกิจสมาร์ทโฟน
“ผลจากสหรัฐตั้งข้อจำกัดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราจะไม่พยายามใช้ชิ้นส่วนที่ดีที่สุดเพื่อสร้างสินค้าที่ดีที่สุด” เหริน ระบุ โดยหัวเว่ย จะใช้ชิ้นส่วนที่เหมาะสมในการสร้างสินค้าคุณภาพสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลกำไรของบริษัให้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามเหริน ระบุว่า บริษัทจะไม่ยอมแพ้ในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง ผ่านบริษัท HiSilicon Technologies บริษัทผลิตชิปของหัวเว่ย ธุรกิจที่หัวเว่ยลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปไปแล้วกว่า 20 บริษัท ในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
“เราจะยังคงให้ HiSilicon ปีนเทือกเขาหิมาลัยต่อไป แต่พนักงานส่วนใหญ่ของเราจะปลูกมันฝรั่งและเลี้ยงแกะและปศุสัตว์อยู่ที่ตีนเขาเพื่อส่งสเบียงอย่างต่อเนื่องให้คนที่กำลังปีนเขาอยู่” เหรินระบุ
ซีอีโอหัวเว่ย ระบุด้วยว่า บริษัทจะยังคงจ้างงานคนมีพรสวรรค์ระดับท็อปจากทั่วโลก รวมไปถึงจากสหรัฐอเมริกาด้วยค่าตอบแทนที่สูงกว่าตลาดอื่นๆ นอกจากนี้มีรายงานว่า ในปีนี้หัวเว่ยจ้างงานแรงงานจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในยุโรป
“บริษัทของเราเวลานี้อยู่ในช่วงวิกฤตกลยุทธ์เพื่อการอยู่รอดและการพัฒนา ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีคนเก่งๆในเวลาที่เรามุ่งไปข้างหน้า” เหริน ระบุ และว่า “เราต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าตอบแทนที่เป็นหนึ่งเดี่ยวของเราเพื่อจ้างคนเก่งๆจากทั่วโลก ให้เป็นมาตรฐานค่าตอบแทนของพนักงาน และเสนอแพคเกจค่าตอบแทนที่ดึงดูดคนเก่งประสบการณ์สูง”