เปิดสถิติ "ภาวะโลกเดือด" ไทยอยู่ตรงไหน?

เกือบ 20 ปีมาแล้ว ที่ภาวะโลกร้อน (Global Warming) ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ ” Al Gore” อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตีแผ่ปัญหาโลกร้อนผ่านสารคดี "An Inconvenient Truth" ปี 2551 เพื่อให้คนทั่วโลกหันมาสนใจและตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เราจึงได้ยินคำว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หรือ ภาวะโลกรวน บ่อยขึ้นตามหน้าสื่อต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
มาถึงปัจจุบันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเลขาธิการสหประชาชาติ “อันโตนิโอ กุเตอเรส “ ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ว่า “เราได้ก้าวข้ามจาก "ภาวะโลกร้อน" (Global Warming) เข้าสู่ "ภาวะโลกเดือด" (Global Boiling) แล้ว”
สอดคล้องกับถ้อยแถลงของศาสตราจารย์เซเลสเต เซาโล (Prof. Celeste Saulo) เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) ในรายงาน “State of the Global Climate 2024” ว่า ปี 2567 ทำสถิติใหม่เป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 175 ปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.55 องศาเซลเซียส
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบหลายด้าน โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ทะเลร้อนขึ้นและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ลมพายุรุนแรงขึ้น จนทำให้เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงบ่อยขึ้น สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศโลก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นล้วนมาจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก ทั้งการผลิตและการบริโภคที่เกินความจำเป็น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง และการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่าและการขยายตัวของเมือง กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเร่งให้ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังลดทอนความสามารถของธรรมชาติในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นำมาสู่สถานการณ์อันน่ากังวล
สถานการณ์ดังกล่าวน่ากังวลขนาดไหนนั้น ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Research) โดย "สุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์" ได้สรุปและวิเคราะห์จากรายงาน GHG Emissions of All World Countries 2025 Report ที่จัดทำโดย Joint ResearchCentre (JRC) สหภาพยุโรป (เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568) มีประเด็นที่น่าสนใจ
โดยมีการรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทุกประเทศทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปี 2567 ว่าจากข้อมูลสถิติล่าสุดในฐานข้อมูลการวิจัยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก(Emissions Database for Global Atmospheric Research: EDGAR) พบว่า ในปี2567 ทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมสูงถึง 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ล้านตัน CO2eq) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเพิ่มขึ้น 665 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากปี 2566
และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - ปี 2567) พบว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะลดลงเล็กน้อยในปี 2563 จากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดรุนแรงของ COVID-19 ก่อนกลับมาเพิ่มสูงขึ้นและ7 แตะระดับสูงสุดใหม่ในปี 2567 (หรือเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.05 ต่อปีในช่วง 10 ปี)
ทั้งนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกถึง 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 นั้น ประมาณร้อยละ 74.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยทั่วโลก เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil CO2) และอุตสาหกรรมพลังงานเป็นแหล่งปล่อยใหญ่ที่สุดประมาณร้อยละ 30
จากฐานข้อมูลการวิจัยการปล่อยก๊าซฯ ทั่วโลกรายประเทศพบว่า 10 กลุ่มหรือประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในปี 2567 ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (EU27) อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย บราซิลญี่ปุ่น อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 37,141 ล้านตัน CO2eq หรือคิดเป็นร้อยละ 69.7 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั่วโลก โดย 9 อันดับแรกมีปริมาณการปล่อยก๊าซฯสูงกว่า 1,000 ล้านตัน CO2eq
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบปี 2567 กับปี 2566 พบว่า ในปี 2567 จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในโลก และทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 15,536 ล้านตัน CO2eq หรือคิดเป็นร้อยละ 29.2 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
โดยมีสาเหตุหลักจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งร้อยละ 84.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีนเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักคืออุตสาหกรรมพลังงาน รองลงมาคือการเผาไหม้ในภาคอุตสาหกรรม และกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม ตามลำดับ ทั้งนี้ ยังพบว่า จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจากสูงมากกว่า 2 เท่าของสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
ขณะที่ อินเดีย จีน รัสเซีย อินโดนีเซีย 4 ประเทศที่ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2567 เพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยอินเดียมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นสูงสุด 165 ล้านตัน CO2eq ตามมาด้วยจีน 124 ล้านตัน CO2eq
ส่วนรัสเซีย และอินโดนีเซียมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกัน คือ 63 ล้านตัน CO2eq และ 62 ล้านตัน CO2eq ตามลำดับ ขณะที่ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงสุด โดยลดได้ 58 ล้านตัน CO2eq และ 31 ล้านตัน CO2eq ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระยะยาวของกลุ่มหรือประเทศที่ปล่อยก๊าซฯ สูงสุด 10 อันดับแรกของโลกในปี 2567 โดยเปรียบเทียบข้อมูลปี 2567 กับปี 2533 ซึ่งเป็นปีฐาน (baseline year) ตาอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change) และพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)
พบว่า สหภาพยุโรป (EU27) ลดการปล่อยก๊าซฯ ได้มากที่สุด โดยลดลงเกือบร้อยละ 35 จากปี 2533 ตามมาด้วยรัสเซียลดลงร้อยละ 15.7 และสหรัฐอเมริกาลดลงเกือบร้อยละ 5
ขณะที่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจีน อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า ขณะที่อินเดีย อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า และบราซิลเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว
สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนในปี 2567 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 3,226 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้น 146 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากปี 2566 สูงกว่าภาพรวมของโลกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ทำให้สัดส่วนการปล่อยก๊าซฯ ของกลุ่มประเทศอาเซียนต่อภาพรวมของโลกเพิ่มเป็นร้อยละ 6.1 จากร้อยละ 5.9 ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซียและเวียดนามตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ หากพิจารณารายประเทศ พบว่า อินโดนีเซียปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในอาเซียน และสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ด้วยปริมาณ 1,323.78 ล้านตัน CO2eq หรือคิดเป็นร้อยละ 41.0 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งหมดของประเทศในกลุ่มอาเซียน ตามมาด้วยเวียดนาม 584.26 ล้านตัน CO2eq อยู่ที่อันดับ 17 และไทย 422.39 ล้านตัน CO2eq อยู่ที่อันดับ 21 ขณะที่บรูไนปล่อยก๊าซฯ น้อยที่สุด 11.87 ล้านตัน CO2eq อยู่ที่อันดับ 139 จากทั้งหมด 191 ประเทศ
ทั้งนี้ ในปี 2567 บรูไนและเมียนมา เป็นเพียงสองประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง โดยลดลงร้อยละ 1.6 และลดลงร้อยละ 0.4 จากปี 2566 ขณะที่เวียดนามมีอัตราการเพิ่มขึ้นของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สูงสุดในอาเซียน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 จากปี 2566 ตามมาด้วยสิงคโปร์ร้อยละ 5.1 และอินโดนีเซียร้อยละ 5.0 ตามลำดับ สำหรับไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9
จากฐานข้อมูลพบว่า ในปี 2567 ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับ 21 ของโลก (อันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม) ด้วยปริมาณ 422 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้น 12 ล้านตันCO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 จากปี 2566 นั้น ก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 67.2 ที่ไทยปล่อยเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ตามมาด้วยก๊าซมีเทนร้อยละ 19.2 กลุ่มก๊าซตระกูลฟลูออโรคาร์บอนร้อยละ 9.3 และก๊าซไนตรัสออกไซด์ร้อยละ 4.3 ตามลำดับ โดยการปล่อยก๊าซฯ ในไทยส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตไฟฟ้า(Power industry) การขนส่ง (Transport) และกระบวนการผลิต (Processes)
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยจากฐานข้อมูล EDGAR (Emissions Database for Global Atmospheric Research) และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงาน ปี 2567 ที่จัดทำโดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 245.7 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จากปี2566 สอดคล้องกับการใช้พลงังานของไทยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1
ทั้งนี้ ในภาคการผลิตไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ส่วนภาคการขนส่ง และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ (ภาคครัวเรือน เกษตรกรรมพาณิชยกรรม และกิจกรรมอื่น ๆ) ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นเท่ากันที่ร้อยละ 0.5 ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงร้อยละ 4.5
จากข้อมูลในรายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า บางประเทศสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้แล้วขณะที่ไทยยังมีแนวโน้มปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี จากนโยบายรัฐบาลไทยประกาศตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net zero เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2ุ608 (ค.ศ.2065) เป็นปี 2593 (ค.ศ. 2050) น่าจะช่วยสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเร่งปรับตัวให้เท่าทันประเทศอื่นๆ ในยุคโลกเดือด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
