'คืนรถให้ไฟแนนซ์' ไม่ต้องจ่ายส่วนต่างจริงหรือ?

วิกฤตหนี้ครัวเรือน ผลักดันคนไทยคืนรถไฟแนนซ์เพิ่มขึ้น
สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยในปัจจุบันกำลังเผยให้เห็นปัญหาที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อข้อมูลล่าสุดจากปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าหนี้ครัวเรือนไทยทะลุแตะระดับ 16.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 88% ของ GDP ซึ่งแม้จะเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 แต่ยอดหนี้รวมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง 0.18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือสัดส่วนประชากรที่มีหนี้ในระบบเพิ่มขึ้นจาก 31% ในปี 2561 เป็น 38% ในปี 2567 ขณะที่คนไทยที่เป็นหนี้เสีย เพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 22% ในช่วงเวลาเดียวกัน หนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนในปี 2567 สูงถึง 606,378 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี และสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก
ในส่วนของหนี้ยานยนต์โดยเฉพาะ ณ ปี 2567 มีมูลค่ารวม 1.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด โดยมีหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์สูงถึง 2.6 แสนล้านบาท สถานการณ์เหล่านี้ผลักดันให้คนไทยจำนวนมากหันมาสนใจเรื่องการคืนรถให้ไฟแนนซ์เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหนี้สิน
คำตอบจากศาลฎีกา เปิดทางคืนรถไม่เสียส่วนต่าง
ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตหนี้ครัวเรือน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2565 ได้ให้ความกระจ่างในประเด็นที่ผู้บริโภคจำนวนมากสนใจ นั่นคือเรื่องการคืนรถให้ไฟแนนซ์โดยไม่ต้องรับผิดชอบส่วนต่าง ก่อนหน้านี้ หากผู้เช่าซื้อคืนรถ เช่น ยอดหนี้คงเหลือ 400,000 บาท แต่รถขายทอดตลาดได้เพียง 250,000 บาท ผู้เช่าซื้อจะต้องจ่ายส่วนต่างอีก 150,000 บาท แต่คำพิพากษาใหม่นี้เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง หากคืนรถโดยไม่มีหนี้ค้างชำระ ผู้เช่าซื้อจะไม่ต้องรับผิดชอบส่วนต่างที่เกิดขึ้นอีกต่อไป
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือที่รู้จักกันในนาม "ทนายคลายทุกข์" ได้เผยแพร่รายละเอียดคำพิพากษาดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ decha.com โดยชี้ให้เห็นหลักการสำคัญที่ว่า เมื่อผู้เช่าซื้อนำรถไปคืนโดยไม่มีหนี้ค้างชำระใดต่อบริษัทไฟแนนซ์ การกระทำดังกล่าวไม่ถือเป็นการผิดสัญญา แต่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ศาลมองว่าการคืนรถในสถานการณ์นี้เป็นการยกเลิกสัญญาโดยสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่การบังคับหรือการผิดสัญญาแต่อย่างใด จึงไม่ควรถูกลงโทษด้วยการต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มเติม
ศาลฎีกาได้ชี้แจงในคำพิพากษาว่า การที่ผู้เช่าซื้อส่งมอบรถคืนในขณะที่ไม่มีหนี้ค้างชำระ ถือเป็นการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 ซึ่งทำให้สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงนับตั้งแต่วันที่ส่งมอบรถคืน โดยผู้เช่าซื้อไม่มีภาระหนี้ใดต่อบริษัทไฟแนนซ์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดคือ ต้องไม่มีหนี้ค้างชำระแม้แต่งวดเดียว และต้องคืนรถด้วยตนเองก่อนที่จะถูกยึด หากมีการค้างชำระหรือปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดรถเอง สิทธิประโยชน์นี้จะไม่สามารถใช้ได้ คำพิพากษาฉบับนี้จึงเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคที่ผ่อนรถไม่ไหว ให้มีทางเลือกในการจัดการปัญหาหนี้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
เงื่อนไขสำคัญ ต้องไม่มีหนี้ค้างแม้แต่งวดเดียว
แม้คำพิพากษาศาลฎีกาจะเปิดทางให้ผู้เช่าซื้อสามารถคืนรถโดยไม่เสียส่วนต่าง แต่มีเงื่อนไขสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นั่นคือ ต้องไม่มีหนี้ค้างชำระแม้แต่งวดเดียว
ทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้ยืนยันหลักการนี้อย่างชัดเจนว่า "กรณีส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ โดยไม่ต้องรับผิดสำหรับส่วนต่าง เฉพาะกรณีที่ไม่ผิดนัดหรือค้างค่างวดแม้แต่งวดเดียวเลย"
เงื่อนไขนี้หมายความว่า หากผู้เช่าซื้อคาดหมายว่าจะผ่อนรถไม่ไหว ควรรีบดำเนินการคืนรถทันทีก่อนที่จะเกิดการค้างชำระ เพราะหากปล่อยให้ค้างแม้เพียงงวดเดียว สิทธิในการคืนรถโดยไม่เสียส่วนต่างอาจสูญหายไป
สิทธิที่ไฟแนนซ์ไม่อาจปฏิเสธได้
ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ บริษัทไฟแนนซ์ไม่มีสิทธิปฏิเสธการรับรถคืนจากผู้เช่าซื้อที่ต้องการยกเลิกสัญญา แม้ว่าการรับรถคืนก่อนกำหนดอาจส่งผลให้บริษัทไฟแนนซ์สูญเสียผลประโยชน์จากดอกเบี้ยที่คาดหวังจะได้รับในระยะยาว
ทนายเกิดผล อธิบายว่า "ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อขอยกเลิกสัญญาและส่งมอบรถคืน แต่ไฟแนนซ์ปฏิเสธรับรถคืน ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ"
หากเกิดสถานการณ์ที่บริษัทไฟแนนซ์ไม่ยอมรับรถคืน ผู้เช่าซื้อมีทางเลือกในการแก้ไขปัญหา นั่นคือการนำรถไปวางไว้ที่สำนักงานทรัพย์ของกรมบังคับคดี ซึ่งจะทำให้ภาระความรับผิดชอบของผู้เช่าซื้อสิ้นสุดลง
มิติใหม่ของการจัดการหนี้ครัวเรือน
คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้เปิดมิติใหม่ในการจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนสำหรับคนไทย โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเผชิญความยากลำบากทางการเงินจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำ
การที่ผู้เช่าซื้อสามารถคืนรถโดยไม่ต้องรับภาระหนี้เพิ่มเติม หากปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด จะช่วยลดความเครียดและภาระทางการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ แทนที่จะปล่อยให้หนี้สะสมและกลายเป็นหนี้เสียที่ส่งผลเสียต่อประวัติเครดิต
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ เพราะการคืนรถให้ไฟแนนซ์เป็นการกระทำที่มีผลกระทบระยะยาว และต้องมั่นใจว่าสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางกฎหมายได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
สถิติการคืนรถและยึดรถที่น่าวิตก
ตัวเลขล่าสุดเผยให้เห็นภาพสถานการณ์ที่น่ากังวล เมื่อ ณ สิ้นปี 2567 มีรถยนต์ที่เป็นหนี้เสียแล้ว 8.36 แสนคัน และมีรถที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงกำลังจะถูกยึดอีก 5.37 แสนคัน รวมแล้วมีรถที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยึดและคืนรถไฟแนนซ์มากกว่า 1.37 ล้านคัน
เฉพาะรถกระบะที่จ่อถูกยึดมีถึง 2.84 แสนคัน คิดเป็นวงเงินสินเชื่อราว 1 แสนล้านบาท สินเชื่อที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงมีมูลค่า 1.97 แสนล้านบาท ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาคยานยนต์
สาเหตุและปัจจัยเร่งการคืนรถ
ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้การคืนรถไฟแนนซ์เพิ่มขึ้นมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นและรายได้ที่ไม่เพียงพอ อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง ราคาขายรถมือสองที่ตกต่ำทำให้ยอดขายทอดตลาดต่ำกว่ายอดหนี้คงค้าง และการคัดกรองผู้กู้ที่เข้มงวดขึ้นของสถาบันการเงิน
ข้อมูลเผยให้เห็นว่าประชาชน 71.1% เคยผิดนัดชำระหนี้ในปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักจากเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ลดลง และค่าครองชีพสูงขึ้น สถานการณ์นี้ทำให้ผู้เช่าซื้อจำนวนมากเลือกคืนรถแทนการปล่อยให้ถูกยึดหรือค้างชำระจนนำไปสู่การฟ้องร้อง
โครงสร้างหนี้ครัวเรือนไทยในภาพรวม
หนี้ครัวเรือนไทยในปี 2567 แบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่ หนี้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ 5.6 ล้านล้านบาท (34.3%) หนี้เพื่อธุรกิจ 2.9 ล้านล้านบาท (17.7%) หนี้อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 4.6 ล้านล้านบาท (28%) หนี้ยานยนต์ 1.7 ล้านล้านบาท (10.2%) และสินเชื่ออื่นๆ 1.6 ล้านล้านบาท (9.8%)
มูลค่าหนี้เสียโดยรวม ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท หรือ 8.78% ของสินเชื่อรวม โดยหนี้บัตรเครดิตมีสัดส่วนหนี้เสียสูงสุดถึง 12.5% ขณะที่หนี้ในระบบคิดเป็น 69.9% และหนี้นอกระบบ 30.1% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
ในยุคที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงและปัญหาหนี้ผ่อนรถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความรู้เรื่องสิทธิตามกฎหมายจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริโภคจัดการปัญหาทางการเงินได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญปัญหาการผ่อนรถ การเข้าใจกระบวนการคืนรถที่ถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยปกป้องสิทธิและลดผลกระทบทางการเงินในระยะยาวได้
---
ท้ายที่สุดแล้ว การมีหนี้ผ่อนรถไม่ไหวเป็นเพียงบทเรียนหนึ่งที่สอนให้เราเรียนรู้การจัดการเงินและการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ก่อนตัดสินใจผ่อนซื้อสิ่งใด ควรคิดให้รอบคอบว่ารายได้จริงของเราเพียงพอหรือไม่ เมื่อหักค่าใช้จ่ายจำเป็นแล้ว เงินที่เหลือควรใช้ผ่อนไม่เกิน 30% เพื่อเป็นการรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด การใช้ชีวิตตามฐานะ ไม่ยึดติดกับสิ่งของ และมีเงินออมไว้สำหรับยามฉุกเฉิน จะช่วยให้เราอยู่รอดได้ในยุคเศรษฐกิจที่ผันผวน หากเป็นหนี้แล้ว อย่าปิดบังหรือหลบหนี แต่ให้รีบหาทางแก้ไขอย่างสุจริต เพราะปัญหาหนี้ที่ปล่อยทิ้งไว้จะขยายใหญ่และสร้างความเดือดร้อนมากกว่าการเผชิญหน้าและแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ